AN EYE FOR AN EYE

[AN EYE FOR AN EYE]

Yuri!!! on ICE  fanfiction

Victor Nikiforov+Yuri Katsuki

วิคเตอร์ นิคิฟอลอฟเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาเดินกลับมายังห้องนอน ทว่าเมื่อเปิดประตูออก ก็ชะงักไปเล็กน้อย เมื่อพบร่างหนึ่งนอนอยู่บนเตียง

ขายาวๆ สาวเท้าก้าวไปนั่งตรงริมเตียง ดวงตาสีอ่อนจ้องมองเจ้าหญิงนิทราของเขา…ยูริ คัตสึกิบุคคลผู้กำลังหลับสนิทไม่รู้สึกตัว แม้เขาจะเดินเข้ามานุ่งจนเตียงยวบลงก็ตาม

หลังย้ายโฮมริงก์มาอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ยูริก็ย้ายมาอยู่บ้านของเขา ทั้งยังต้องปรับตัวพอประมาณ ไหนจะเรื่องภาษา การฝึกซ้อม การเดินทาง ฯลฯ ซึ่งคงจะทำให้เจ้าตัวอ่อนเพลีย พอถึงบ้านกินข้าวอาบน้ำเสร็จทีไรเป็นต้องหลับเป็นตายตลอด

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาในส่วนที่ไม่ใช่ครู-ศิษย์นั้น ยังไม่มีคำเรียกระบุสถานะ พวกเขาจับมือกันบ้าง หอมแก้มกันบ้าง แต่กับจูบ…นอกจากตอนแข่งที่จีนซึ่งเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนแล้ว ก็ยังไม่มีครั้งที่ 2 อีกเลย

เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นดูเด็กนักยามหลับ เมื่อเทียบกับอายุ แก้มตุ่ยๆ ที่ดุนอยู่กับหมอนนั่น ทำเอาคนที่ได้ชื่อว่าเป็น Living Legend อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้

‘น่ารัก’

หมูน้อยของเขามักทำให้เขารู้สึกเอ็นดูและรักใคร่เช่นนี้ได้เสมอ

การเปรียบอีกฝ่ายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ทำให้เขาคิดไปถึงว่าสิ่งที่จะปลุกเจ้าหญิงให้ตื่นจากการหลับใหลได้ก็คือ ‘จุมพิต’

‘วิ้ว~’ เขาผิวปากเบาๆ อย่างชอบใจในความคิด

คิดแล้วก็ลงมือปฏิบัติ

วิคเตอร์ขยับตัวคร่อมร่างของยูริไว้ เขาจุมพิตที่แหวนของตัวเอง ก่อนจะไล่ไปจุมพิตที่แหวนของยูริ แล้วลากริมฝีปากไล่เรื่อยไปตามแขน ลาดไหล่ ลำคอ  คาง ปิดท้ายด้วยการประกบลงไปที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย

จุมพิตเป็นไปอย่างเชื่องช้า ทว่าเวียนซ้ำอยู่อย่างนั้น

ร่างข้างใต้เริ่มส่งเสียงอืมอา…ไม่รู้ว่ารำคาญหรือต้องการวอนขอ

‘ยูริ…ยูริ…’ วิคเตอร์ส่งเสียงเรียกในใจ ด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมา เขาอยากตักตวงและอิ่มเอมกับการลิ้มรสหมูน้อยของเขาในช่วงเวลานี้ไปอีกสักพัก

ทว่าคำขอนั้นก็ไม่เป็นผล

“ทำอะไรน่ะ วิคเตอร์!?”

ทันทีที่รู้สึกตัว ยูริผลักร่างของวิคเตอร์ออกแล้วแผดเสียงถามทันที สีหน้าที่แสดงออกไม่ได้บ่งบอกว่าโกรธ แต่คล้ายกับว่าสับสน ไม่เข้าใจ

“ทำอะไรงั้นเหรอ ก็จูบไง หรือว่ายูริไม่รู้จัก จูบ…Kiss…поцелуй”

“ผมรู้จักจูบน่า แต่ผมถามว่ามาจูบผมตอนหลับทำไม!?”

“ก็ถ้าเป็นตอนตื่นยูริคงไม่ยอมให้จูบง่ายๆ นี่”

“……อึก”

คนเพิ่งตื่นชะงักไป ดูท่าในหัวคงกำลังประมวลผล สรรหาถ้อยคำมาต่อว่า

“ทะ ทำแบบนี้ขี้โกงนี่นา ทำตอนที่ผมไม่รู้สึกตัว ก็ไม่ต่างกับการขืนใจนั่นแหละ”

วิคเตอร์ทำหน้าสลดทันทีเมื่อได้ยินคำว่าขืนใจ

ยูริเองก็คล้ายจะรู้สึกตัวว่าอาจพูดแรงเกินไป เลยอึกอักพยายามหาคำพูดปลอบ แม้ว่าตัวเองจะเป็นผู้เสียหายก็ตาม แต่ยังไม่ทันคิดออกว่าจะพูดอะไรดี อีกฝ่ายก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อน

“งั้นถ้าทำตอนรู้สึกตัวก็ได้สินะ” ว่าปุ๊บก็คว้าตัวอีกฝ่ายหมับแล้วตั้งใจประกบจูบแบบไม่ถามคำยินยอมอยู่ดี แต่คราวนี้หมูน้อยของเขาตั้งตัวทัน จึงเอาฝ่ามือมาบังริมฝีปากได้ทันท่วงที วิคเตอร์เลิกคิ้วแปลกใจ ตอนแรกก็เสียดายที่อดลิ้มรสริมฝีปากคู่นั้นอีกครั้ง แต่พลันก็นึกขึ้นได้ เขาจุมพิตหลังมือที่ป้องไว้เบาๆ ก่อนจะลากลิ้นสากคล้ายกำลังชิมรส พลางสายตาก็เหลือบมองหน้ายูริไปด้วย

ยูริกลอกตา สีหน้าคล้ายจะวิงเวียน รู้สึกเสียแรงที่นึกเป็นห่วงความรู้สึกของคนที่ดูไม่ได้มีทีท่าว่าจะสำนึกผิดขึ้นมาทันควัน

“ฟังนะ วิคเตอร์! ประเด็นไม่ได้อยู่แค่ตรงที่ผมหลับหรือไม่หลับ รู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัว แต่คือผมไม่ยินยอม เข้าใจไหม!?”

คราวนี้คนฟังทำหน้าจ๋อยกว่าเก่า เมื่อเห็นเขาชักจะเริ่มโกรธขึ้นมา

“อะ อืม ฉันผิดไปแล้ว” เสียงตอบกลับก็เริ่มร้อนรนเพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด

“เฮ้อ…..”

เสียงถอนหายดังขึ้น

“งั้นแบบนี้คงต้องลงโทษกันหน่อยแล้ว”

“ก็ได้..ยูริอยากลงโทษฉันหรือให้ฉันชดใช้ให้ยังไงก็บอกได้เลย!”

“วิคเตอร์ขี้โกง…ผมหลงใหลคุณมาเป็นครึ่งชีวิต แล้วผมจะไปกล้าลงโทษคุณได้ยังไง” ยูริก้มหน้าพึมพำทำให้วิคเตอร์มองไม่เห็นสีหน้าขณะกำลังพูด

“ฉันขอโทษ…ยูริไม่ต้องเกรงใจ ฉันยอมรับว่าฉันไม่ดีเอง”

“งั้น…แบบนี้…คงต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน…”

“เอ๊ะ…?”

ยังไม่ทันได้ถามว่าหมายความว่ายังไง คราวนี้ยูริเป็นฝ่ายโอบท้ายทอยและรั้งวิคเตอร์เข้ามาจูบ แม้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นจูบที่ช่ำชอง แต่ก็ดุดันและหนักแน่นเกินกว่าอิมเมจในหัววิคเตอร์ที่มีต่อคนตรงหน้า

จุ๊บ…..

จุ๊บ………

จุ๊บ………………..

จุ๊บ………………………..

ฮ่าห์……………………………..

“แฮ่ก…แฮ่ก….ทีนี้…ก็ถือว่าเจ๊ากันแล้วนะ” คนกล่าวเอ่ยทั้งที่กำลังหอบและหน้าแดงแปร๊ด

ด้านคนโดนลงโทษนั้นก็หน้าแดงไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จะต่างออกไปก็ตรงที่ทำตาโต สีหน้าเหมือนกำลังตื่นตาตื่นใจ…

“Amazing!?”

.

.

.

.

ยูริ คัตสึกิเคยบอกว่าเขามักทำให้เจ้าตัวประหลาดใจไม่หยุดหย่อน

แต่ดูท่าวิคเตอร์ นิคิฟอลอฟเองก็โดนเจ้าหมูน้อยทำให้ประหลาดใจไม่หยุดหย่อนไม่แพ้กันเลยทีเดียว

End….?

แถมท้ายอีกนิด

“เอ่อ ยูริ…ฉันมีเรื่องจะสารภาพล่ะ”

“เรื่องอะไรเหรอ วิคเตอร์?”

“ความจริงแล้วฉันแอบลักจูบยูริตอนหลับแทบทุกวัน ทุกครั้งที่มีโอกาสมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ฮาเซ็ตสึแล้วล่ะ เพราะงั้นยูริต้องลงโทษฉันในส่วนนั้นด้วยนะ!”

“หาาาาาาาาาาาาาาา!?”

“ตาต่อตา ฟันต่อฟันใช่ไหมล่ะ”

“โอ๊ย!? ทำไมถึงรู้สึกว่าฝ่ายผมมีแต่จะเสียกับเสียเนี่ย!!”


ตอนแรกลังเลระหว่างยูริ คัตสึกิกับคัตสึกิ ยูริ แต่ใช้แบบแรกไปเพราะคิดว่าไหนๆ ก็เหมือนจะบรรยายจากมุมวิคแล้ว ก็ให้เป็นเรียกแบบฝรั่งที่เอาชื่อขึ้นก่อนไปแล้วกันค่ะ

เป็นฟิคที่คิดพล็อตได้สั้นๆ ว่าให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับจูบ แต่กว่าจะลงมือเขียนจริงได้นั้นก็ยากเอาการกว่าจะเข็นออกมาได้ค่ะ รู้สึกห่างหายจากการเขียนแฟนฟิคชั่นไปนานมาก ถ้าเจอจุดผิดพลาดก็บอกกันได้หรือไม่ก็ทำเป็นเมินๆ กันไปได้นะคะ (ฮา)

ที่จริงฉากในตอนที่ 7 เราไม่อยากสรุปว่าเป็นจูบ เพราะถ้าอฟช.ไม่ยืนยัน เราก็อยากยึดตามภาพที่เขานำเสนอให้เห็น แต่พอมาเขียนแล้วรู้สึกว่าไหนๆ ก็เป็นแฟนฟินชั่น เพราะงั้นตีความเข้าข้างตัวเองไปเลยแล้วกัน! ไปซะงั้นค่ะ

ตรงคำว่าจูบภาษารัสเซีย สารภาพว่าไปใช้อากู๋ทรานสเลตมา ที่จริงก็ลังเล จะใส่ไปดีไหม เพราะไม่รู้จริง มันอาจจะแปลกๆ ก็ได้ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เลยยัดใส่ไปทั้งๆ อย่างนั้น 55

เรื่องคู่่ ใช้เครื่องหมาย + เพราะเขียนๆ ไปรู้สึกจะคิดเป็นทางไหนก็ได้(มั้ง?) ก็เลยไม่อยากระบุชัดไปเท่าไหร่ค่ะ (ฮา)

ไม่รู้จะมีพล็อตหรือไฟในการเขียนฟิคเรื่อนี้อีกไหม แต่คิดว่าถ้ามีก็คงดีค่ะ XD

Your Dreamer

「Your Dreamer」

 

Uta no Prince-sama fanfiction
Ichinose Tokiya ← Otori Eiji

——————————————————

โอโทริ เอย์จิ เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง

แม้จะมีพ่อเป็นถึงเจ้าของเอเจนซี่ยักษ์ใหญ่ มีพี่ชายเป็นไอดอลชื่อดัง เอย์จิก็ไม่เคยนึกสนใจอยากพาตัวเองเข้าไปโลดแล่นในวงการบันเทิงเลยสักครั้ง

เอย์จิเคยเป็นคู่ซ้อมเต้นและซ้อมร้องเพลงให้พี่ชายอยู่บ่อยๆ
เออิจิผู้เป็นพี่มักชมเปาะว่าเขามีพรสวรรค์

เขาสามารถร้องเพลงที่เพิ่งเคยฟังเพียงครั้งเดียวได้อย่างง่ายดาย
หรือจะให้เลียนแบบท่าเต้นที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก

 

กระนั้นเอย์จิกลับไม่นึกอยากใช้พรสวรรค์ที่ว่าให้เป็นประโยชน์

 

วันเวลาของเขาดำเนินไปอย่างเรียบง่ายไร้จุดหมาย
ถึงจะไม่มีความฝันยิ่งใหญ่ในชีวิต เอย์จิก็ไม่เดือดร้อนอะไร
แค่ใช้ชีวิตไปวันๆ สะสมความสุขเล็กๆ น้อยๆ ไปเรื่อยๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

 

ทั้งที่คิดเช่นนั้นมาตลอดแท้ๆ…

 

“กลับมาแล้วครับ”
เอย์จิส่งเสียงบอกโดยอัตโนมัติเมื่อกลับมาถึงบ้าน
สายตาสอดส่องหาผู้เป็นพี่ แต่กลับไร้วี่แววอีกฝ่าย

“ออกไปข้างนอกรึไงนะ?”
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลรำพึงเบาๆ แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นพี่ชายนั่งนิ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงมุมหนึ่งของบ้าน ปกติแล้วไม่เคยมีสักครั้งที่พี่ชายจะไม่เอ่ยตอบยามที่เอย์จิบอกว่ากลับมาแล้ว ทำไมคราวนี้กลับไร้ปฏิกิริยาเสียนี่

“ทำอะไรอยู่เหรอครับ พี่” เอย์จิถามด้วยความสงสัย อะไรกันหนอที่ทำให้พี่ชายของเขาใจจดใจจ่อได้ถึงเพียงนั้น

“กำลังศึกษาข้อมูลของสมาชิกสตาริชอยู่น่ะ”

“สตาริช?”

เอย์จิเคยได้ยินชื่อนั้น
วงไอดอลแห่งไชน์นิ่งเอเจนซี่ที่พ่อของเขาชิงชังนักหนา

“ใช่ อีกไม่นานเฮฟเว่นส์จะต้องขึ้นเวทีประชันกับสตาริชเพื่อชิงอุตะปุริอวอร์ด ฉันถึงต้องศึกษาข้อมูลของพวกนั้นล่วงหน้าทุกซอกทุกมุมไงล่ะ”

“เห…”

พี่ชายคนนี้ทุ่มเทกับงานเต็มที่เสมอ
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เอย์จิเห็นพี่ชายจริงจังถึงขนาดนี้ ดวงตาสีม่วงภายใต้แว่นกรอบดำของเออิจิวาวโรจน์ขณะจ้องหน้าจอเขม็ง

เอย์จิพลอยมองหน้าจอตาม หน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นฉายภาพชายคนหนึ่งในชุดสีม่วงที่ดูราวกับเป็นชุดของเจ้าชายประเทศใดสักแห่ง ดวงตาสีน้ำเงินที่มองตรงมาเปี่ยมเสน่ห์อย่างประหลาด …บางทีนี่อาจเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของคนเป็นไอดอลกระมัง?

 

ชายในจอเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย

‘อิจิโนะเสะ โทคิยะ จากสตาริชครับ
ค่ำคืนนี้ ผมอยากให้คุณเท่านั้นที่ได้ฟังบทเพลงของผม’

 

จากนั้น อิจิโนะเสะ โทคิยะก็เริ่มขับขานบทเพลง

 

บทเพลงอันแสนอบอุ่น

 

บทเพลงอันสว่างไสว ราวกับมีประกายแสงพรั่งพรูออกมา

 

 

บทเพลงที่เปลี่ยนวันเวลาอันแสนธรรมดาของเอย์จิไปตลอดกาล

 

 

 

 

เฮฟเว่นส์พ่ายแพ้ให้กับสตาริชในศึกอุตะปุริอวอร์ด

 

เอย์จิเห็นใจเมื่อจินตนาการถึงความรู้สึกของพี่ชายผู้เกลียดความพ่ายแพ้เข้ากระดูกดำ แต่ลึกๆ ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า การที่สตาริชได้รับชัยชนะก็สมกับเป็นวงของเขาคนนั้นแล้ว

 

อิจิโนะเสะ โทคิยะงั้นหรือ…

 

ถ้าเข้าวงการบันเทิงตามที่ได้รับคำชักชวนอยู่บ่อยๆ จะมีโอกาสได้พบกันหรือเปล่านะ

ว่ากันตามตรงแล้ว เอย์จิไม่มั่นใจเลยสักนิด ว่าคนจืดชืดอย่างตัวเองจะเป็นไอดอลได้ตลอดรอดฝั่ง

 

แต่ว่า
หากได้ยืนอยู่บนเวทีเดียวกันกับเขาคนนั้น
หากได้ร่วมร้องเพลงกับเขาคนนั้น
การฝ่าฟันเพื่อเป็นไอดอลอาจคุ้มค่าก็ได้

 

เอย์จิไม่เคยมีความใฝ่ฝันมาก่อน
แต่บัดนี้ อิจิโนะเสะ โทคิยะคือความใฝ่ฝันของเขา

 

และสิ่งที่ช่วยมอบความกล้าที่จะวิ่งไล่ตามความฝันให้กับเขา ก็คือบทเพลงของอิจิโนะเสะ โทคิยะนั่นเอง

 

ด้วยเหตุนี้ เมื่อพี่ชายออกปากชักชวนว่า “มาทำให้เฮฟเว่นส์แข็งแกร่งขึ้นด้วยกันไหม เอย์จิ?” คราวนี้เขาจึงตอบโดยไม่เสียเวลาลังเลแม้แต่น้อย

 

“ตกลงครับ”

 

และสักวัน

หากวันที่ได้ร้องเพลงบนเวทีเดียวกันกับเขาคนนั้นมาถึง

 

เอย์จิจะบอกกับเขาด้วยตัวเองว่า
ขอบคุณ ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบของผม

 

——————————————————

 

เวลาฟังเพลง Dreamer ของเอย์จิจะอดคิดไม่ได้ว่าเนื้อเพลงเป็นความรู้สึกที่มีต่อใครกันนะ ใครคือคนที่เป็นแรงบันดาลใจของน้องกันหนอ พอลองคิดว่าอาจจะเป็นอิจิโนะเสะซังก็ได้ ฟิคสั้นๆ นี้ก็งอกออกมาเองค่ะ (ฮา)

อยากให้ออฟฟิเชียลเล่าเรื่องของน้องมากกว่านี้จัง อยากรู้ว่าไปไงมาไง โดนชักชวนอีท่าไหน น้องถึงมาเข้าวงพี่ชายซะได้ (ขำ) แล้วสิ่งที่น้องบอกผ่านเพลง Dreamer นั่นคือตัวตนของน้องจริงๆ หรือเปล่า?

ถ้าหลังจากนี้ออฟฟิเชียลครึ้มอกครึ้มใจหาโอกาสเล่าเรื่องของน้องมากขึ้นก็คงดีนะคะ (^^)

My only sunshine

「My only sunshine」

 

Uta no Prince-sama fanfiction
Otori Eiichi → Ittoki Otoya

——————————————————

 

โอโทริ เออิจิแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

 

อิตโตกิ โอโตยะหายตัวไปงั้นหรือ…?

 

เขานึกถึงดวงตาสีแดงมีชีวิตชีวาคู่นั้น นึกถึงไออุ่นจากกายของอีกฝ่ายยามที่เขาเข้าโอบกอดพร้อมกับกระซิบข้างหู นึกถึงเสียงร้องเพลงที่สั่นสะเทือนจิตวิญญาณ

เออิจิยังจำวันแรกที่เขานึกสนใจในตัวอิตโตกิ โอโตยะขึ้นมาได้อย่างแม่นยำ วันนั้นเฮฟเว่นส์พ่ายแพ้ยับเยินให้กับบทเพลงมาจิเลิฟ 2000% ของสตาริช แต่แฮปปี้พัลส์ในบทเพลงนั้นก็เขย่าหัวใจสิ่งมีชีวิตทั้งจักรวาล

ไม่เว้นแม้แต่เขา…

เพียงแต่เออิจิอาจแตกต่างจากคนอื่นสักเล็กน้อย เพราะสิ่งที่สั่นคลอนหัวใจของเขาไม่ใช่สตาริช หากแต่เป็นอิตโตกิ โอโตยะคนนั้นต่างหาก ใช่แล้ว สมาชิกสตาริชคนอื่นๆ ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลยสักนิด

 

เออิจิเคยได้ยินแฟนๆ เปรียบเปรยว่าโอโตยะเปรียบเสมือนดวงตะวัน ช่างเป็นคำเปรียบเปรยที่ถูกต้องยิ่ง

นับตั้งแต่วันนั้นมา โอโตยะก็กลายเป็นดวงตะวันของเขา

 

ระหว่างที่เฮฟเว่นส์ดำเนินแผนการเพิ่มสมาชิกเพื่อให้วงแข็งแกร่งขึ้น เออิจิก็ไม่เคยลืมเลือนความสดใสของโอโตยะแม้แต่วินาทีเดียว หัวใจเอาแต่เฝ้าโหยหา รอวันที่จะได้พบกันอีกครั้ง วันที่เฮฟเว่นส์จะเอาชนะสตาริช และโอโตยะผู้นั้นจะต้องยอมสยบ… แทบเท้าของเขาคนนี้

 

อยากเห็นยามที่ดวงตะวันอับแสงเสียเหลือเกิน
เมื่ออับแสงแล้ว ดวงตะวันดวงนั้นจะต้องกลายเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
โดยไม่อาจส่องประกายให้ใครอื่นได้อีกเลย

 

ความคิดนี้เป็นแรงผลักดันให้เออิจิตั้งอกตั้งใจเลือกเฟ้นสมาชิกใหม่ เพื่อให้เฮฟเว่นส์กลับมาประชันกับสตาริชได้อย่างสมศักดิ์ศรี พร้อมๆ กับลงมือสืบสาวข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับโอโตยะให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

ยิ่งค้นพบความมืดมิดเบื้องหลังความสดใสของดวงตะวันมากเท่าไหร่ ความหลงใหลของเออิจิก็ยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น

 

และแล้วเฮฟเว่นส์ก็ได้ร่วมงานกับสตาริชในดูเอทโปรเจคต์
มิหนำซ้ำ คนที่จะร้องเพลงคู่กับเขายังเป็นอิตโตกิ โอโตยะคนนั้นเสียด้วย

เออิจิแทบทนรอให้ถึงวันแรกที่ประชุมงานกันไม่ไหว จนเมื่อวันจริงมาถึง เขาจึงเผลอไผลเอ่ยถามอีกฝ่ายไปว่า “เชื่อในพรหมลิขิตหรือเปล่า?”

ใบหน้าเหวอนิดๆ ตอนนั้นตลกชะมัด แต่ก็น่ารักสมเป็นโอโตยะ เออิจิคิดพลางผุดยิ้มมุมปาก ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะหายวับไปในพริบตา

 

…แต่โอโตยะคนนั้นหายตัวไปเสียได้ หายไปไหนกันเล่า?

 

เออิจิย้อนนึกถึงเรื่องเมื่อวันก่อน เขาชวนโอโตยะมาค้างคืนด้วยกัน แม้ปากจะอ้างว่าเพื่อการแต่งเพลง แต่เออิจิก็รู้ตัวดี ว่าตนเองมีเจตนาแฝงเช่นไร

เขาชอบที่ได้เห็นโอโตยะตั้งอกตั้งใจแต่งเนื้อเพลง เพลงของพวกเขาสองคน แต่อีกใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายเอาแต่จดจ่ออยู่กับเนื้อเพลงจนไม่ยอมกินอาหารด้วยซ้ำ

เพราะเห็นโอโตยะกลุ้มใจกับเนื้อเพลงนั่นแหละ เขาถึงได้ทำเรื่องร้ายกาจเช่นนั้นลงไป รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองใจร้ายแค่ไหน เออิจิก็ยังคงเชื่อว่าการกระทำของตนถูกต้องแล้ว

 

อิตโตกิ โอโตยะ ไอดอลผู้มีรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอ เสมือนดวงตะวันของทุกคน
เขาดึงความดำมืดในใจดวงตะวันดวงนั้นออกมา
เพื่อให้บทเพลงของพวกเขากลายเป็นบทเพลงที่สั่นสะเทือนจิตวิญญาณอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

 

วินาทีที่ประกายแสงค่อยๆ เลือนไปจากดวงตาของโอโตยะ เขารู้สึกเป็นสุขยิ่งนัก

 

แม้จะยังเอาชนะสตาริชไม่ได้ แต่เขาก็ทำให้ดวงตะวันอับแสงได้แล้ว
และอีกไม่นาน ดวงตะวันดวงนี้จะต้องตกเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
เออิจิคิดในวินาทีนั้นเอง

 

และพวกเขาก็ขับร้องบทเพลงด้วยกัน เพลงที่เออิจิเฝ้ารอมาเนิ่นนานเหลือเกิน

 

♪ ความคลุ้มคลั่งแห่งโลกใหม่พัดกระหน่ำคุกคาม
ในดวงตาที่ปลดเปลื้องหน้ากากยิ้มแย้มออกไป ♪

 

อา… ช่างน่าดีใจที่ได้เห็นความมืดมิดในใจของโอโตยะ ที่แม้แต่พวกเพื่อนร่วมวงยังไม่เคยได้เห็น

ปลดปล่อยความคลุ้มคลั่งนั้น ให้ฉันได้เห็นอีกสิ

 

 

บัดนี้เมื่อได้ข่าวว่าโอโตยะหายตัวไป เออิจิก็เริ่มอยู่ไม่สุขขึ้นมา รู้อย่างนี้ไม่น่าปล่อยให้กลับไปทั้งๆ อย่างนั้นเลย ยังไม่ทันได้ทำอะไรๆ อย่างที่ใจเรียกร้องเลยแท้ๆ จับขังไว้ที่นี่เสียก็ดีหรอก

หายไปไหนของเขานะ ได้ยินว่าทางไชน์นิ่งเอเจนซี่ตื่นตกใจกันน่าดู แสดงว่าคงไม่ใช่ฝีมือของเจ้าอิจิโนะเสะ โทคิยะนั่นหรอกใช่ไหม

 

เออิจิไม่ชอบใจอิจิโนะเสะ โทคิยะมานานแล้ว
คนอื่นๆ อาจไม่มีใครสังเกต แต่เออิจิรู้ดี ว่าสายตาที่โทคิยะมองโอโตยะนั้นมันมากกว่าแค่เพื่อนร่วมวงธรรมดา

 

เมื่อหวนนึกถึงสายตานั้น เออิจิก็เริ่มหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาคนขับรถลีมูซีนคันยาวคู่ใจ

“มารับหน่อยสิ มีธุระด่วนต้องจัดการ” เออิจิพูดเสียงห้วน ไม่ปิดบังแววขุ่นเคือง

 

รอก่อนเถอะ อิตโตกิ โอโตยะ

 

ฉันจะออกตามหานายเอง

 

ฉันจะเป็นคนหานายให้พบ

 

 

และคราวนี้แหละ นายจะต้องตกเป็นของฉันจริงๆ

 

เป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น

 

The end.

——————————————————

ไซด์สตอรี่ของเออิจิจากอุตะปุริ มาจิเลิฟเลเจนด์สตาร์ ตอนที่ 10 ค่ะ!

เป็นวันช็อตที่งอกมาแบบงงๆ เพราะอันที่จริงแล้วไม่ได้คิดจะชิปคู่เออิจิxโอโตยะแม้แต่น้อย ตอนที่เขียนก็ยังคงคิดตลอดว่าเป็นฟิคโทคิยะxโอโตยะที่มีเออิจิเป็นมือที่สาม (เอ๊ะ?) เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วทั้งหมดนี้เป็นแค่รักข้างเดียวของเออิจินั่นเอง (ฮา)

แต่ดูจากอนิเมะตอนที่ 9 แล้วรู้สึกว่าโอโทริ เออิจิเป็นตัวละครที่น่าสนใจเกินคาดนะคะ อยากรู้พื้นเพของคนคนนี้ให้มากกว่านี้จัง เท่าที่เห็นจากอนิเมะแล้วอดคิดไม่ได้ว่าเวลาเออิจิมีความรักคงเป็นพวกมีความรู้สึกอยากครอบครองคนที่รักไว้คนเดียวรุนแรงมากแหงๆ

เพราะงั้นเลยรู้สึกว่าเพลง You are my sunshine เหมาะกับคู่นี้ดีค่ะ โดยเฉพาะท่อน “But if you leave me to love another, You’ll regret it all one day” ยันเดเระดีนะคะ (หัวเราะ)

FLOW (12)

『FLOW』

Free! fanfiction
Rate: PG

※※※※※※

(12)

“นั่นน่ะเหรอ เรื่องที่มาโกโตะบอกว่าจะคุยกับนาย”

“ใช่มั้ง ไม่ใช่มั้ง ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ไหงงั้น ก็หมอนั่นบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับนาย”

“ก็หมอนั่นบอก ไม่ใช่ฉันบอกอยากรู้ขนาดนั้นก็วิ่งตามไปถามสิ” ฮารุกะชักจะหงุดหงิดที่ถูกเซ้าซี้ถาม…

“ไม่เอาดีกว่า”

“ทำไมล่ะ?”

“ก็ตอนนี้…ฉันอยากอยู่ที่นี่มากกว่า” …อยากอยู่กับนายมากกว่า

“เหรอ…” ฮารุกะรู้สึกว่าไม่สามารถห้ามมุมปากตัวเองไม่ให้ยกยิ้มน้อยๆ ได้

ไม่รู้ว่าทั้งสองคิดไปเองรึเปล่าว่าบรรยากาศในตอนนี้มันช่างหวานแหววเป็นสีชมพูและมีมวลหมู่ดอกไม้ลอยละล่องยังไงชอบกล

“นี่ริน แล้ว ‘เรื่องนั้น’ ที่ประธานชมรมนายพูดถึง…”

คราวนี้รินทำหน้ายุ่ง…เขาจะอธิบายกับฮารุกะยังไงดีน้า

“คือไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากบอกนายเพราะอยากจะปกปิดอะไรหรอกนะ แต่ว่ามันเกี่ยวพันกับเรื่องส่วนตัวของกัปตัน แล้วถ้าฉันเอามาเล่าต่อให้คนอื่นฟังมันจะดูไม่ดีน่ะ เอ่อ นายคงไม่โกรธฉันใช่มั้ย?” รินช้อนตามองอย่างกล้าๆ กลัวๆ ทั้งที่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิดอะไรแต่กลับไม่สบายใจเลยที่มีเรื่องที่บอกกับฮารุกะไม่ได้อยู่แบบนี้

…โธ่เว้ย เพราะเจ้ากัปตันหน้าโง่กางเกงว่ายน้ำจิ๋วรัดติ้วนั่นแท้ๆ !

พอเห็นสายตาฉลามหงอยของรินที่มองมา ฮารุกะก็ขำเบาๆ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวของประธานนั่นเขาก็ไม่ได้อยากรู้อะไร ที่ข้องใจก็เพราะนึกว่ามันเกี่ยวข้องกับรินแค่นั้นเอง

นี่เองสินะ ที่มาโกโตะบอกไว้ ถ้าเขาไม่พูด รินก็ไม่รู้ ถ้าเขาไม่ถาม รินเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยากรู้เรื่องอะไร

“เหมือนที่มาโกโตะพูดไว้เลยแฮะ” ฮารุกะพึมพำ ทำเอาคนข้างๆ ที่พอได้ยินชื่อมาโกโตะหลุดมาจากปากของฮารุกะก็หงุดหงิดอยากเตะถังขยะไม่ก็ทุบเครื่องกดน้ำอัตโนมัติขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผลอีกแล้ว

…ทั้งที่ตอนนี้มีฉันอยู่ข้างๆ แล้วนายจะพูดถึงหมอนั่นทำไม!

“ก่อนหน้านี้ ฉันคุยกับมาโกโตะว่าถึงฉันไม่พูดหมอนั่นก็เข้าใจทุกอย่าง” ฮารุกะว่าพลางหันมามองหน้ารินตรงๆ

…ใช่ซี้…หมอนั่นมันรู้ใจนายไปหมดนี่!

“แต่มาโกโตะบอกว่ากับนายไม่ใช่ ถ้าฉันไม่พูดนายก็ไม่เข้าใจ”

…แหงล่ะ ฉันไม่ใช่เอสเปอร์อย่างหมอนั่นนี่หว่า!!

“เพราะงั้น ฉันกับนาย เรามาพูดกัน คุยกันให้เยอะๆ เถอะนะริน เพื่อชดเชยช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่พวกเราต้องห่างกันและไม่เข้าใจกันนะ เพราะฉันน่ะอยากรู้ทุกเรื่องของนายเลย”

…อ๊าก โธ่เว้ย ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!! รินสบถในใจ ก่อนจะคว้าร่างของฮารุกะมากอดหมับ แล้วบดเบียดริมฝีปากตัวเองลงไปบนริมฝีปากของคนในอ้อมกอด

ฮารุกะเบิกตาโพลงตะลึงมอง แต่ก็ไม่ขัดขืนทั้งพยายามตอบสนองอย่างเต็มที่

แต่ขณะกำลังแอบลุ้นอยู่ในใจว่ารินจะสอดลิ้นเข้ามาหรือไม่ ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ผละออกไปทันทีราวกับโดนของร้อน

“เอ่อ คือ นะนะนี่เป็นธรรมเนียม…เวลา เอ่อ…ขอโทษ ใช่ เวลาขอโทษของที่ออสฯ น่ะ เวลารู้สึกผิดต่อคนสำคัญและอยากจะขอโทษ กะ ก็ให้ จะ จะ จู…เอ๊ย เอ่อ เอาปากประกบกันแทน” กล่าวติดๆ ขัดๆ ทั้งใบหน้าแดงเถือก แถมริมฝีปากยังมีคราบความชื้นหลงเหลืออยู่

‘โอ้ๆๆ วัยรุ่นนี่ร้อนแรงกันจังเลยน้า…’ คุณพ่อที่เงียบมานานเพราะงีบกลางวันไป ตื่นขึ้นมาทันได้เห็นฉากเด็ดพอดี เลยนั่งมองนั่งขำลูกตัวเองเสมือนเป็นละคร

‘ว่าแต่จูบเพื่อแสดงความขอโทษเนี่ยนะ ขนาดเด็กอมมือยังรู้เลยว่าซุงแหลชัดๆ เจ้ารินเอ๊ย ทั้งโง่ทั้งบ้า เหมือนใครก็ไม่รู้’

“งั้นเหรอ เพื่อขอโทษสินะ…” น้ำเสียงฮารุกะสลดไป…ร่างกายเย็นเฉียบเหมือนโดนน้ำเย็นสาด อุณหภูมิร่างกายที่ร้อนระอุเมื่อกี้ดูราวกับเป็นเรื่องโกหก ที่ใบหน้ารู้สึกชา รู้สึกตัวเองช่างน่าสมเพชนัก ที่เผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปว่ารินจูบเพราะเหตุผลอื่น

‘อ๊ะ ชะอ้าว…ฮารุกะคุงนี่ก็โง่ เอ๊ย ใสซื่อเกินไปแล้ว ช่วยไม่ได้น้า ได้เวลาป๊ะป๋าออกโรงแล้ว! ’

ว่าแล้วคุณพ่อก็จับวิญญาณฮารุกะกลับไปขังไว้ในห้องมืดภายในจิตใจอีกครั้งโดยที่เจ้าของร่างไม่ทันตั้งตัว

…โธ่ คุณพ่อครับ ทำไมต้องโผล่มาตอนอยู่กับรินสองต่อสองด้วยนะ

ฮารุกะหมดเรี่ยวแรงจะทุบประตูห้องแห่งจิตใจนั้น จึงได้แต่นั่งกอดเข่ารอดูสถานการณ์

ที่ผ่านมาคุณพ่อเจ้าปัญหาก็ทำเรื่องน่าอายไปตั้งเยอะแล้ว ป่านนี้คงไม่มีอะไรให้เสียแล้วล่ะ…มั้ง?

“ริน ฉันถามอะไรหน่อยสิ” คุณพ่อในร่างฮารุกะแกล้งทำเนียนตีสีหน้าหดหู่น้ำตาคลอเบ้า

“ถะ ถามอะไรเหรอฮารุ?” รินที่ยังตกใจกับจูบเมื่อกี้ไม่หายทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายกระทำ ถึงกับสะดุ้งเบาๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

“ฉันเป็นอะไรสำหรับนายกันแน่!?” ฮารุกะถามด้วยเสียงสั่นเครือ หยาดน้ำตาร่วงเผาะ ทว่าวิญญาณผู้ครอบครองร่างในขณะนี้กำลังกระหยิ่มยิ้มย่องในใจพลางบอกตัวเองว่า …เล่นละครเก่งเป็นบ้าเลยเรา ตอนยังไม่ตายน่าจะเอาดีทางด้านการแสดงมากกว่าชาวประมงนะเนี่ย

“หา!?” ทั้งคำถามและน้ำตาบนใบหน้านั้นทำเอารินถึงกับผงะ เขาไม่ใช่คนปลอบใจคนอื่นเก่งสักเท่าไหร่จึงได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก

…เอ้า ตอบมาสิ ไอ้ลูกซื่อบื้อ ฮารุกะคุงเองก็รอฟังคำตอบอยู่นะ

“ฉัน…” ท่าทางลังเลและสีหน้าลำบากใจของรินทำให้ฮารุกะผู้ซ่อนตัวอยู่ภายในจิตใจรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังจะถล่มลงมา

“เอ่อ ขอเวลานอกหน่อยนะริน ฉันขอทำใจแป๊ปนึง” คุณพ่อที่สัมผัสได้ถึงความวิตกกังวลของฮารุกะเอ่ยขัดจังหวะพลางยกมือขึ้นห้าม ทำเอารินหน้าเหวอด้วยความงุนงง

ทันใดนั้นวิญญาณของคุณพ่อก็กลับเข้าไปคุยกับฮารุกะภายในห้องแห่งจิตใจเช่นเดียวกับตอนที่พบกันครั้งแรก

“ฮารุกะคุง ฉันคงช่วยเธอได้แค่นี้แหละ อีกไม่นานก็จะหมดเวลาของฉันแล้ว” พ่อของรินที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้า “ดังนั้นต่อจากนี้ไป เธอกับรินต้องจัดการปัญหาด้วยตัวเองเท่านั้น ฉันคงมาคอยแกล้ง เอ๊ย คอยช่วยไม่ได้แล้วล่ะ”

“คุณพ่อครับ…” ฮารุกะเอ่ยเมื่อเห็นสีหน้าหม่นหมองของอีกฝ่าย เขาลืมนึกไปสนิทว่าวิญญาณของชายคนนี้กลับมายังโลกนี้ได้เพราะเป็นช่วงเทศกาลโอบ้ง ดังนั้นย่อมอยู่บนโลกนี้ได้ไม่นาน

“เพราะฉะนั้น จากนี้ไปพ่อก็ฝากดูแลรินด้วยล่ะ เอ้า ถึงตาเธอออกโรงแล้ว ฮารุกะคุง!” ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่กลับมาร่าเริงเช่นเดียวกับทุกที ก่อนจะผลักฮารุกะให้โผล่พ้นออกมานอกบานประตู…

“ฮารุ นายเป็นอะไรหรือเปล่า” รินที่ถูกบอกให้รอถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปพักใหญ่

“ตอบมาเถอะ ริน” ในที่สุดฮารุกะที่กลับมาครอบครองร่างของตัวเองอีกครั้งก็เอ่ยขึ้น “ไม่ว่าคำตอบจะเป็นแบบไหนฉันก็พร้อมจะฟัง”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฮารุ” ในที่สุดรินจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ ราวกับพยายามเรียบเรียงความรู้สึกในใจออกมาเป็นคำพูด

“ฉันรู้แต่ว่าเวลาอยู่กับนายแล้วฉันไม่เป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย ฉันมีความสุขเวลาอยู่กับนาย แต่ฉันก็รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ เหมือนเป็นโรคหัวใจเวลาคิดเรื่องของนาย …ฉันชอบเวลานายยิ้ม แต่ฉันไม่ชอบเวลานายยิ้มให้คนอื่น ฉันชอบเวลานายมีความสุข แต่ฉันไม่ชอบเวลาที่คนอื่นเป็นคนทำให้นายมีความสุข ฉันดีใจที่ได้กลับมาเจอนายที่นี่อีกครั้ง ได้พบนาย ได้ว่ายน้ำด้วยกัน ได้ใช้เวลาร่วมกัน ได้หัวเราะอยู่ข้างๆ กัน”

คำพูดของรินขาดห้วงไปชั่วขณะหนึ่ง

“บางที ฉันอาจชอบนายก็ได้มั้ง ฮารุ…”

น้ำตาหลอกๆ ของคุณพ่อเมื่อกี้กลับกลายเป็นน้ำตาจริง เมื่อคำพูดนั้นหลุดจากปากริน

“ชอบฉัน…เหรอ…?” ฮารุกะทวนคำ อย่างไม่ค่อยมีสตินัก

“อือ…ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่คิดว่าความรู้สึกของฉันมันน่าจะใกล้เคียงคำนี้ที่สุดแล้ว” รินตอบเขินๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ที่ไม่สมกับเป็นรินเอาเสียเลย “ขอโทษนะ ฮารุ นาย…รังเกียจรึเปล่า ถ้านายไม่ชอบก็ไม่เป็นไรนะ ลืมๆ มันไป ยังไงฉันก็อยากจะเป็นเพื่อนกับนาย อยากว่ายน้ำกับนาย”

“เมื่อไหร่…?” ฮารุกะไม่ตอบคำถามของริน แต่กลับถามต่อ

“ถ้าชัดๆ ก็สองวันนี้ล่ะมั้ง…” นัยน์ตาของคนฟังเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

…สองวันนี้…ก็เพราะคุณพ่อมายืมใช้ร่างงั้นสิ? รินไม่ได้ชอบตัวเราจริงๆ แต่เป็นเพราะคุณพ่อสินะ…

“นายไม่ได้ชอบฉันจริงๆ หรอก” ฮารุกะพูดเสียงแผ่ว พยายามเก็บความรู้สึกผิดหวังกับความรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเข็มพันเล่มทิ่มแทงไว้ภายในใจ “นายชอบฉันที่ร่าเริงนั่นใช่มั้ย? นายน่าจะรู้ว่ามันไม่ใช่ตัวจริงของฉัน วันนี้นายกลับไปเถอะ แล้วจากนี้ต่อไปเรามาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”

“เดี๋ยว ฮารุ ฟังก่อนสิ” รินคว้าข้อมือฮารุกะที่ทำท่าจะเดินหนี “ฉันบอกว่าเพิ่งรู้ชัดๆ สองวันนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันเพิ่งรู้สึกแบบนี้กับนายนะ”

ฮารุกะหันมาสบตารินด้วยดวงตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำ และพบว่าดวงตาของรินเองก็มีรอยรื้นเช่นเดียวกัน

“ริน อย่าร้องไห้สิ” ฮารุกะประคองใบหน้าของรินไว้ด้วยสองมือ

…น้ำตาของริน น้ำอย่างเดียวบนโลกนี้ที่เขาเกลียด…

“ฮารุ…นายจะปฏิเสธฉันก็ได้ แต่อย่าเข้าใจผิดได้มั้ย ฉันเสียใจ” เสียงของรินสั่นเครือ ทำเอาใจของฮารุกะอ่อนยวบ ณ วินาทีนี้รินจะชอบเขาหรือพ่อก็ไม่สำคัญอีกแล้ว

“ขอโทษ เข้าใจแล้ว ไม่ร้องนะ” ฮารุกะลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีแดงราวกับกำลังปลอบโยนเด็ก

“ยังไม่ได้ร้องสักหน่อย” รินเถียงกลับ ก่อนจะพูดต่อว่า “แล้วคำตอบของนายล่ะ ฮารุ เราจะเป็นเพื่อนกันต่อไป หรือยังไง”

ฮารุกะยิ้มบางๆ

“วันก่อนฉันถามนายใช่มั้ย ว่านายจะไล่ตามความฝันของพ่อเหรอ”

“ใช่ แล้วไง” รินตอบอย่างไม่เข้าใจนักว่าฮารุจะพูดเรื่องนี้ทำไม

“แล้วนายตอบว่ายังไง”

“ตอนนี้มันเป็นความฝันของฉันแล้ว” รินทวนคำพูดในวันนั้น

“แล้วไงต่อ” ฮารุกะกระตุ้น

“เอ่อ…แล้วนายล่ะ?…ล่ะมั้ง” รินบอกอย่างไม่ค่อยมั่นใจ

“ฉันอยากเป็นกำลังให้นาย… ริน” ฮารุกะคลี่ยิ้ม รินอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่เจิดจ้าที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิตนี้

“ให้ฉันเป็นกำลังให้นายได้มั้ย?”

— The End —

Thank you for reading : )

FLOW (11)

『FLOW』

Free! fanfiction
Rate: PG

※※※※※※

(11)
“รอด้วยสิ ฮารุ” รินส่งเสียงเรียก แต่เจ้าของชื่อก็ไม่คิดจะทำตามที่ขอ ทำให้รินต้องวิ่งตาม

“บอกว่ามีนัดกับฉันแล้วหนีออกมาก่อนแบบนี้ คนอื่นก็สงสัยกันพอดี” รินพูดเมื่อวิ่งตามมาจนทัน

“เรื่องของนายสิ” ฮารุกะตอบกลับ แม้คำพูดจะฟังดูเป็นปกติ แต่ที่จริงแล้วคำพูดนั้นแฝงแววน้อยใจเอาไว้

“นายนี่นะ ช่วยกันแล้วก็ช่วยให้ตลอดสิ” รินบ่นอย่างไม่จริงจังนัก แค่ฮารุกะออกปากช่วยเขาก็นับว่าดีมากแล้ว

“หึ ยังไงก็รอดแล้วนี่ ไม่กลับบ้านรึไง” ฮารุกะตอบกลับติดประชด

“ไม่ล่ะ ฉันไปส่งนายดีกว่า” คำตอบของรินทำให้หัวใจฮารุกะเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย พอเขาพยายามออกห่าง รินก็พยายามเข้าใกล้เขา ทำไมกันนะ

บรรยากาศระหว่างทางกลับบ้านไม่แย่นัก เพราะได้มาโกโตะคอยชวนคุยเรื่องต่างๆ ฮารุกะเองก็พยายามทำตัวเป็นปกติโดยชวนรินทะเลาะไร้สาระ

“บุฟเฟ่ต์ซาบะ? นายจะบ้ารึเปล่า ขืนเปิดร้านแบบนั้นมีแต่จะขาดทุน” รินโวยเสียงดังเมื่อฮารุกะเสนอไอเดียเปิดร้านอาหารที่เสิร์ฟเมนูทำจากซาบะแบบไม่อั้น

“หึ สร้างสรรค์ออกจะตายไป ในร้านฉันจะตกแต่งด้วยตู้ปลาซาบะขนาดใหญ่ให้แขกลงไปว่ายน้ำเล่นกับซาบะได้ แล้วร้านนี้ไม่ได้มีแค่เมนูพื้นๆ นะ แต่ฉันจะคิดสูตรใหม่ๆ ประยุกต์เข้ากับอาหารต่างชาติด้วยเป็นไง อย่างต้มยำซาบะ เฝอซาบะ ฮ็อทด็อกซาบะ เคบับซาบะ อ้อ ทำของหวานด้วยดีมั้ย” พอเป็นเรื่องซาบะแล้ว ฮารุกะก็พูดเยอะผิดปกติ

“ตู้ปลานั่นน่ะ ฉันว่าคงมีนายลงไปว่ายโชว์แขกอยู่คนเดียว แล้วเมนูซาบะนั่นน่ะนะ แหวะ แค่คิดก็ขนลุก ซาบะคาวจะตาย” รินโต้กลับ

“นายไม่รู้จักของอร่อยซะแล้ว ริน” ฮารุกะมองด้วยสายตากึ่งดูถูกกึ่งสมเพช

“ฮารุ! นาย!” รินกำมือแน่น ใจหนึ่งก็หมั่นไส้ แต่อีกใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าท่าทางนั้นช่างน่ารักเหลือเกิน

…เพี้ยนไปใหญ่แล้วเรา… รินคิดในใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา

“เอาน่า รินก็รู้ว่าฮารุชอบซาบะ ปล่อยให้ฮารุฝันไปเถอะ ฮารุก็ไม่เห็นต้องเล่นแรงขนาดนั้นเลย” มาโกโตะเข้ามาปราม เพราะเข้าใจผิดไปเองว่ารินโกรธจนอยากจะลงไม้ลงมือกับฮารุกะ แต่ผลคือทั้งสองคนกลับหันมามองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ

“เพราะมาโกโตะนั่นแหละ” ฮารุกะว่า

“ใช่ เพราะนายนั่นแหละ” รินพยักหน้าเห็นด้วย

“อ้าว ไหงมาลงที่ฉันล่ะ” มาโกโตะเกาหัวด้วยความงง เวลาแบบนี้ล่ะเข้ากันดีเชียวนะสองคนนี้

มาโกโตะลอบมองสีหน้ามีความสุขของฮารุกะแล้วก็รู้สึกเจ็บไม่น้อย

…อยู่กับฉัน นายไม่เห็นทำหน้าแบบนี้เลย…

แม้จะเจ็บ แต่มาโกโตะก็รู้สึกถึงความสุขที่ได้เห็นสีหน้าเช่นนั้นของคนที่ตัวเองแอบรัก มาโกโตะหัวเราะในใจโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าขำอะไร ตอนแรกที่เห็นฮารุกะนั่งข้างรินในร้านโอโคโนมิยากิเขายังรับไม่ได้อยู่เลย แต่เมื่อเห็นท่าทางอ่อนโยนของรินหลังจากนั้นแล้ว ถึงแม้ดูท่าว่ารินจะยังไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง แต่มาโกโตะก็เริ่มรู้สึกวางใจให้รินดูแลฮารุกะแทนเขา

…นี่เองที่เขาว่ากันว่าแค่เห็นคนที่เรารักมีความสุข เราก็มีความสุข เราควรจะเริ่มตัดใจจริงจังแล้วสินะ เพราะยังไงฮารุก็คงไม่มีวันหันมามองเรา ถ้าเป็นรินในตอนนี้คงจะทำให้ฮารุกะมีความสุขได้แน่ๆ… มาโกโตะคิดแล้วยิ้มให้กับตัวเอง หากใครได้เห็นรอยยิ้มเศร้ากับหางตาตกของเขาในตอนนั้นคงอดรู้สึกเศร้าตามจนอยากจะช่วยปลอบใจไม่ได้

ไม่นานนักหลังจากนั้นทุกคนก็มาถึงบ้านของฮารุกะ เจ้าของบ้านเปิดประตูเข้าไป พลางส่งสายตาราวกับจะถามอีกสองคนว่า ‘เข้ามาก่อนมั้ย’

“ขอฉันเข้าไปนั่งพักหน่อย เดี๋ยวต้องเดินกลับบ้านอีก” รินบอก ก่อนจะก้าวเข้าบ้านตามฮารุกะไป

“เอ่อ งั้นฉันกลับก่อนดีกว่า สัญญากับน้องๆ ไว้ว่าจะเล่นเกมด้วย ฮารุพรุ่งนี้มีซ้อมนะ แต่เรื่องว่ายน้ำ ถึงไม่เตือนนายก็น่าจะจำได้” มาโกโตะตอบปฏิเสธ ใจจริงเขาอยากจะอยู่ด้วย แต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะตัดใจ เขาก็ควรทำให้ได้ และที่สำคัญเขาควรเปิดโอกาสให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เผื่อว่าจะเข้าใจกันมากขึ้น

…ถึงฉันจะเจ็บจนเหมือนจะตาย แต่นี่คงเป็นอย่างเดียวที่ฉันจะทำเพื่อนายได้ ใช่มั้ย ฮารุ…

ฮารุกะพยักหน้ารับคำเรื่องซ้อม ก่อนที่จะโบกมือลามาโกโตะ ฝ่ายรินเอง ถึงแม้สองวันนี้เขาจะรู้สึกเหมือนต่อสู้กับมาโกโตะอยู่ โดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจอะไรนัก ซ้ำยังรู้สึกอิจฉาที่มาโกโตะสนิทสนมกับฮารุกะ แต่เขาก็ไม่ได้ไม่ชอบหรือรังเกียจมาโกโตะ จึงโบกมือลาอย่างจริงใจ

“ไว้เจอกันนะ มาโกโตะ” แม้จะเป็นน้ำเสียงเบื่อโลก แต่คนฟังก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายอยากเจอเขาอีกจริงๆ มาโกโตะจึงยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ

…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะยังเป็นเพื่อนกัน…

to be continued