『FLOW』
Free! fanfiction
Rate: PG
※※※※※※
(8)
รินที่แยกจากทั้งสองคนโดยที่ยังไม่หายหงุดหงิดกลับไปสมทบกับนางิสะและเรย์เพื่อบอกลาสั้นๆ แล้วรีบผละจากมา ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะสนุกกับงานเทศกาลใดๆ ทั้งสิ้น
…ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้…
เมื่อกี้ฮารุยังยิ้มให้เรา พูดว่าอยากอยู่กับเราเพียงลำพัง แถมยังดูท่าทางสนุกสนานขนาดนั้น แต่ไม่ทันไรก็ไปยืนร้องไห้ซบอกเจ้ามาโกโตะซะแล้ว หมอนั่นคิดอะไรอยู่นะ ไม่เข้าใจเอาซะเลย
คิดไปคิดมาก็ยิ่งโมโหตัวเอง
ทำไมมาโกโตะเข้าใจฮารุทุกอย่างได้โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร แล้วทำไมเราถึงไม่เข้าใจนะ ทำไม…
หัวของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยคำถาม ทว่ายิ่งคิดใคร่ครวญเท่าไหร่ เมฆหมอกทะมึนที่ปกคลุมห้วงความคิดก็ยิ่งหนาทึบขึ้นเท่านั้น
ครั้นเมื่อหลับตาลงสงบสติอารมณ์ ภาพน้ำตาของฮารุกะก็ผุดขึ้นมาเบื้องหน้า
“โธ่เว้ย!!” รินสบถเสียงดังลั่นพลางทุบตู้กดน้ำอัตโนมัติที่อยู่ระหว่างทางกลับบ้านดังโครม
“มัตสึโอกะ? มัตสึโอกะนี่นา มาทำอะไรแถวนี้” เสียงร้องทักอย่างสนิทสนมดังขึ้น
“กัปตัน?” รินเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มผมสีแดงเข้ม เขาต่างหากที่อยากถามว่ามิโคชิบะ เซย์จูโร่ ประธานชมรมว่ายน้ำโรงเรียนซาเมสึกะมาทำอะไรแถวนี้ แต่เมื่อดูจากชุดยูกาตะที่อีกฝ่ายสวมอยู่ คงไม่พ้นมาร่วมงานที่ศาลเจ้าเหมือนกันกระมัง
“นายนี่นะ แค่โดนตู้กดน้ำกินเหรียญ ไม่เห็นต้องทุบตู้แรงขนาดนั้นเลย” รุ่นพี่อารมณ์ดีพูดเองเออเองพลางหยอดเหรียญกดเครื่องดื่มดังแกร๊ง
“เปล่าครับ ผมแค่หงุดหงิดนิดหน่อยน่ะ…” รินตอบเสียงเรียบ ทว่าอีกฝ่ายดูท่าทางกำลังง่วนอยู่กับการเลือกเครื่องดื่มโดยไม่สนใจคำตอบ รินจึงตั้งท่าจะปลีกตัวออกมา
“เอ้านี่ ฉันเลี้ยง” มิโคชิบะเอ่ยพลางโยนนมสตรอเบอร์รี่กล่องสีชมพูหวานแหววมาให้ รินหันขวับไปรับไว้ได้พอดิบพอดี เด็กหนุ่มมองกล่องนมในมือก่อนจะเบะปาก
“กัปตัน ผมไม่ชอบของหวานๆ…”
“อย่าเรื่องมากหน่อยเลยน่า ไอ้หนู ชีวิตมันไม่เป็นอย่างที่นายคิดเสมอไปหรอกนะ รีบดื่มนมแล้วกลับบ้านนอนซะ ตื่นมาอีกทีเรื่องที่นายกลุ้มใจอยู่มันอาจกลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วก็ได้ เลิกทำหน้าเหมือนท้องผูกได้แล้ว”
คนถูกสวดฟังแล้วสะอึกเบาๆ …แค่เห็นหน้ากันแวบเดียวดูออกถึงขนาดนี้เลยหรือ สมแล้วที่เป็นกัปตันทีมที่ทุกคนนับถือ ถึงแม้ว่าบางทีจะเพี้ยนๆ ไปบ้างก็ตาม
รินหันหลังผละจากมาโดยไม่ลืมโบกกล่องนมในมือเบาๆ แทนคำขอบคุณ ระหว่างทางกลับบ้านเขาลองดื่มและพบว่า
“แหวะ รสชาติเห่ยชะมัด”
หมอกควันในหัวบรรเทาลงนิดหนึ่ง
ชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป งั้นเหรอ…
รินหลับตาลงอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ภาพที่ผุดขึ้นมากลับเป็นรอยยิ้มของชายที่เขาไม่ได้พบมานานหลายปีแล้ว ตั้งแต่คืนที่พายุโหมกระหน่ำคืนนั้น…
‘ริน ว่ายน้ำแข่งกับพ่อมั้ย’ เมื่อครั้งที่เขาเป็นเด็กตัวน้อย พ่อมักจะเอ่ยปากถามเขาเช่นนี้เสมอ
พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยพ่ออายุเท่าเขา พ่อว่ายน้ำได้เร็วที่สุดในเมือง และพ่อฝันว่าจะเป็นนักว่ายน้ำโอลิมปิก ถึงแม้ว่าพ่อจะหันมาเป็นชาวประมงเพื่อเลี้ยงครอบครัว พ่อก็ไม่เคยลืมความฝันนั้น หลายครั้งที่เขาถามพ่อกลับว่าพ่อเสียใจมั้ยที่ไม่ได้เป็นนักว่ายน้ำ ไม่ได้ไปโอลิมปิกตามที่ฝัน ทำไมพ่อยังไม่ลืมความฝันที่ไม่เป็นจริงเสียที
‘ถึงพ่อจะไม่ได้ไปโอลิมปิก พ่อก็ยังมีความสุขเพราะว่ามีรินกับโกนะ ที่พ่อไม่ลืมเพราะพ่อไม่เห็นว่าลืมแล้วจะทำให้อะไรดีขึ้น ถึงมันจะไม่เป็นจริง แต่พ่อก็มีความสุขที่ตัวเองมีความฝัน’ พ่อมักจะพูดเช่นนั้นเสมอ ตอนนั้นเขาไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของพ่อนัก แค่รู้สึกภูมิใจว่าพ่อพูดอะไรที่ฟังดูเท่
พ่อไม่เพียงแต่ว่ายน้ำเร็วและเท่เท่านั้น แต่พ่อยังเป็นผู้ชายที่ใจดีและเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เขาเคยรู้จัก แม้พ่อจะชอบทำตัวบ้าๆ บอๆ ขี้แกล้งเหมือนเด็กไม่รู้จักโตในบางครั้งก็ตาม พ่อแทบไม่เคยลงไม้ลงมือกับเขาและโก ถ้าทำผิด พ่อจะตักเตือนด้วยเหตุและผล เวลาเขากลับมาถึงบ้านหลังเลิกเรียน พ่อมักจะจับเขาขี่คออุ้มโกไว้ในอ้อมแขนและเหวี่ยงเล่นไปมาเรียกเสียงหัวเราะปนหวีดร้องสนุกสนานของเด็กๆ ถ้ากลับจากหาปลาในทะเล พ่อมักจะเล่าเรื่องราวสนุกๆ ที่เกิดขึ้นโดยมีเขาและน้องสาวอยู่บนตักคนละข้าง แม้ตัวของพ่อจะเหนียวเพราะเกลือทะเล แต่กลิ่นและสัมผัสนั้นก็ทำให้เขาอบอุ่นใจ และทุกครั้งที่ไปงานเทศกาล พ่อก็มักจะยิงตุ๊กตา ช้อนปลาทอง หรือซื้อของกินอร่อยๆ มาให้เสมอ
…ยิงตุ๊กตาเหรอ…
รินสะดุดเมื่อคิดถึงตรงนี้
…จะว่าไป วันนี้ฮารุก็อาสายิงตุ๊กตา ช้อนปลาทองให้เขานี่นา ท่าทางก็ดูคล้ายๆ พ่อด้วย…
รินหัวเราะขำกับความคิดของตัวเอง ดูท่าเขาจะฟุ้งซ่านเกินไป ถึงได้เอาเรื่องพ่อมาปนกับฮารุกะ สองคนนั้นจะไปเกี่ยวข้องกันได้ยังไง จะว่าฮารุกะเป็นลูกลับๆ ของพ่อก็ไม่น่าจะใช่
เมื่อคิดเช่นนั้น รินก็ปล่อยให้ตัวเองด่ำดิ่งไปกับความคิดเรื่องพ่อต่อ…
ครอบครัวมัตสึโอกะพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่คาดคิดในคืนที่พายุโหมกระหน่ำคืนนั้น ครอบครัวที่แสนอบอุ่นกลับขาดเสาหลักไปโดยไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่แม่เป็นคนเข้มแข็ง แม่ลุกขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญที่ค้ำจุนครอบครัวแทนพ่อ คอยเติมเต็มสิ่งที่ขาดให้เขาและน้อง ครอบครัวของเขาจึงยังมั่นคงแข็งแรง แต่ใครจะรู้…บาดแผลในใจเขาที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นั้นไม่อาจลบล้างได้…
บางครั้งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเพราะเขา ทำให้พ่อจากไปในคืนนั้น ถ้าเพียงแต่พ่อไม่มีเขา พ่ออาจจะได้เป็นนักว่ายน้ำทีมชาติอย่างที่หวัง พ่อคงไม่ต้องทิ้งชีวิตในทะเลที่บ้าคลั่งเพราะเป็นชาวประมง ถึงแม้จะรู้ว่าความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่ทุกครั้งที่นึกถึงพ่อ เขาก็เฝ้าโทษตัวเองอย่างห้ามไม่ได้
ตอนแรกที่เขาตัดสินใจจะทำตามความฝันของพ่อ ก็เพราะต้องการชดเชยเรื่องนี้ เขาอยากชดเชยให้พ่อที่ต้องละทิ้งความฝันของตัวเองเพื่อมาเป็นพ่อให้เขาจนสุดท้ายต้องจบชีวิตลง…ในฐานะชาวประมงที่ไร้การจดจำ
รินเฝ้ากดดันตัวเองจนเกินกว่าที่เด็กมัธยมจะรับได้ และเมื่อผิดหวัง เขาก็รู้สึกราวกับสูญเสียทุกอย่าง ลืมกระทั่งความสุขที่เคยว่ายน้ำกับพ่อและเพื่อนๆ การว่ายน้ำกลายเป็นยาขม เขาไม่ได้ชอบมัน แต่ก็ยังต้องกล้ำกลืนฝืนทนเพราะเชื่อว่ามันจะเยียวยาอะไรบางอย่างได้ เขาเฝ้าไขว่คว้าหาอะไรบางอย่างที่ตัวเองก็ตอบไม่ได้ คิดไปว่าต้องการชัยชนะในการแข่งมาเติมเต็มความผิดหวัง เขาคงจะลืมความสุขและความงดงามของการว่ายน้ำไปจนหมด
ถ้าไม่ได้พบกับ…ฮารุกะ…อีกครั้ง
.
.
ด้านฮารุกะกับมาโกโตะ
“เมื่อกี้นายว่าไงนะมาโกโตะ” ฮารุกะทำหน้าไม่เชื่อหูกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“ฉันบอกว่า ‘ฉันรู้ แต่รินไม่รู้’ น่ะ”
“พูดอะไรของนาย? ฉันไม่เข้าใจ ”
“ฮารุ ตอนนี้นายอาจไม่เข้าใจ หรืออาจจะแค่ไม่อยากยอมรับมัน แต่คนที่รู้ทุกเรื่องของนายอย่างฉันเป็นคนพูดเองรับรองว่าไม่มีผิดแน่”
“…..” ไม่มีคำตอบอะไรจากฮารุกะอีก
และหลังจากนั้นตลอดทางกลับบ้าน ก็ไม่มีบทสนทนาใดอื่นระหว่างทั้งสองคน…
พอถึงหน้าบ้านของตัวเองมาโกโตะถามฮารุกะว่าต้องการให้ไปส่งถึงที่บ้านมั้ย แต่ก็ถูกส่ายหน้าปฏิเสธ จึงได้แต่กล่าวลาก่อนจากกันสั้นๆ แค่ “บ๊ายบาย กลับบ้านระวังตัวด้วยนะ ฮารุ”
ช่างเป็นคำเตือนที่ทำให้คนฟังมุ่นคิ้วขมวด บ้านเขากับบ้านหมอนี่อยู่ห่างกันแค่ระยะไม่กี่ก้าว ยังจะเตือนเหมือนกับว่าเขาเป็นเด็กอมมืออยู่อีก แต่เพราะรู้ดีว่าคนพูดพูดด้วยความเป็นห่วง จึงไม่เกิดอารมณ์ที่จะสวนกลับเพื่อต่อปากตอบคำ
ทันทีที่ถึงบ้านฮารุกะรีบถอดชุดยูกาตะออกแล้วพุ่งไปแช่น้ำในห้องอาบน้ำทันที
วันนี้มีเรื่องไม่คาดคิด เรื่องน่าตกใจ เรื่องน่าดีใจ และเรื่องน่าเสียใจเกิดขึ้นเยอะเหลือเกินจนสมองเริ่มจะล้า เขาไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว
แต่พอได้สัมผัสกับน้ำ ให้ร่างกายได้ปล่อยตัวสบายอยู่ในมวลน้ำในอ่าง แค่นั้นก็รู้สึกเหมือนบางสิ่งบางอย่างที่ขุ่นมัวก็ถูกชะล้างออกไป ใจและกายที่เหนื่อยล้าค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นมา
พอรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว ความง่วงงุนก็เข้าจู่โจมในทันที
…ฝัน…?
เมื่อมองไปรอบๆ ฮารุกะพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องห้องหนึ่งที่คุ้นตา ห้องที่มีหน้าต่างและบานประตู
“…นี่คือ…ความฝัน…?”
“ที่จริงก็ไม่เชิงว่าเป็นความฝันหรอก แต่ถ้าจะให้ง่ายเรียกว่าฝันไปนั่นแหละ ฉันไม่ถือหรอก ฮ่าๆๆ”
เสียงของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อหันไปดูเขาก็พบชายวัยกลางคนกำลังเดินเข้ามาหา
“คุณพ่อ…”
“แหม วันนี้เหนื่อยหน่อยนะ ฮารุกะคุง ขอบใจมาก”
“ทำไมผมและคุณถึงมาเจอกันที่นี่ได้ล่ะครับ” ฮารุกะถามอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ดีนัก
“อืม ถ้าจะให้เล่าแล้วมันต้องเท้าความกันยาวน่ะ มันเริ่มจากว่าสมัยยังมีชีวิตอยู่ ฉันเกิดมาเป็นเด็กที่ชอบว่ายน้ำและยังว่ายเร็วซะด้วย ฉันเลยฝันอยากจะไปให้ถึงกีฬาห้าห่วง แต่ทีนี้การจะก้าวไปให้ถึงจุดนั้นมันยากใช่ม้า แถมไอ้ฉันก็ได้แต่งงานมีครอบครัว ความฝันที่ว่านั้นก็เลยเป็นแค่ความฝันต่อไป”
“เอ่อ…ขอแบบสั้นๆ สรุปๆ ได้มั้ยครับ” ฮารุกะที่ฟังอยู่เอ่ยขัดเมื่อเห็นท่าว่าจะได้ฟังอัตชีวประวัติตั้งแต่เกิดจนตายของพ่อริน
“อ้อ ได้ๆ คนหนุ่มคงไม่อยากฟังตาลุงอย่างฉันพร่ำเพ้อสินะ โอเค อา เมื่อกี้ฉันเล่าถึงไหนแล้วนะ”
“…ถึงตรงความฝันเป็นได้แค่ความฝันครับ”
“อ้อ ใช่ๆ ที่จริงตรงนั้นไม่ต้องเล่าก็ได้แหละ” เส้นประสาทตรงขมับของฮารุกะถึงกับกระตุก …ถ้าไม่ต้องเล่าแล้วจะเล่ามาทำไมครับคุณพ่อ…
“เธอถามว่าทำไมฉันและเธอถึงมาเจอกันได้สินะ? คนญี่ปุ่นอย่างเธอคงรู้ใช่มั้ยล่ะว่าโอบ้งเป็นช่วงที่วิญญาณของคนตายอย่างพวกฉันที่ข้ามแม่น้ำซันสึไปแล้วจะถูกปล่อยกลับมาหาคนเป็นได้ ทีนี้อีตอนขากลับมา คน เอ๊ย วิญญาณเข้าคิวกันเยอะมาก ในเรือก็เบียดกันสุดๆ เพราะงั้นฉันก็เลยกระโดดลงแม่น้ำแล้วว่ายกลับมาเองเลย เธอน่าจะได้เห็นหน้าของพวกยมทูตในตอนนั้นนะ พวกนั้นงี้ตกใจใหญ่”
เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ฮารุกะแอบต่อประโยคในใจเพราะขี้เกียจขัด …เขายังไม่อยากเห็นหน้าของยมทูตสักเท่าไหร่หรอกถ้ายังไม่ตาย…
แต่คนที่ยังพูดอยู่นั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิดและยังคงพล่ามต่อไป
“แต่ไหนแต่ไรพวกนั้นเอาแต่บอกว่าห้ามว่ายน้ำกลับมาเองเพราะจะไม่มีทางกลับมาที่โลกคนเป็นนี้ได้ แต่ไอ้ฉันเห็นว่าในเมื่อตายไปแล้วจะต้องตายอีกสักหนหรือวิญญาณสลายไปก็คงไม่เป็นไรก็เลยลองดูน่ะ และเห็นม้า ที่ฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ก็แปลว่าพวกยมทูตมันตอแหล คงจะอยากขูดรีดค่าพายเรือพาวิญญาณกลับมาล่ะสิถึงได้พยายามขู่กันนักว่าห้ามว่ายกลับมาเอง”
ฮารุกะพยักหน้าหงึกอย่างเนือยๆ พอให้เห็นว่าเป็นปฏิกิริยาตอบรับว่ายังฟังอยู่
“แล้วทีนี้พอฉันว่ายมาถึงฝั่งนี้ได้ ก็คิดถึงริน พอรู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ในงานเทศกาลแล้วเห็นรินกำลังประคองเธอที่หมดสติวิญญาณออกจากร่างอยู่พอดี ฉันก็เลยขอยืมใช้ร่างเธอแบบมัดมือชกกลายๆ ไปเที่ยวเล่นกับรินน่ะ แหะๆ”
“สรุปคือวิญญาณคุณกลับมาโลกมนุษย์ได้เพราะเป็นช่วงโอบ้งและคุณเลยตั้งใจกลับมาหาริน แต่เพราะเห็นผมหมดสติวิญญาณออกจากร่างพอดีก็เลยยืมร่าง แบบนี้สินะครับ”
“ใช่เลย แหม เธอนี่ทั้งน่ารักทั้งหัวดีจริงๆ “ไม่ว่าเปล่าคุณพ่อรินยังดึงตัวฮารุกะมาขยี้หัวอย่างมันมือ ส่วนคนที่ถูกขยี้หัวก็ชักทำใจกลายๆ แล้วเหมือนกันว่าพ่อรินนิสัยเป็นอย่างนี้เองเลยไม่ขัดขืนอะไร แม้จะรู้สึกทะแม่งๆ กับคำว่า ‘น่ารัก’ อยู่บ้างก็ตาม
“ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันจะเที่ยวสิงร่างคนหมดสติทุกคนได้ง่ายๆหรอกนะ” คุณพ่อพูดเสริมด้วยสีหน้าขึงขังขึ้นเล็กน้อย “แต่เพราะว่าเธอเหมือนกับฉันมากยังไงล่ะ”
“เหมือนคุณ งั้นเหรอครับ?” ฮารุกะไม่เข้าใจ พวกเขามีอะไรเหมือนกันด้วยหรือ ในเมื่อคุณพ่อทั้งร่าเริง ตรงไปตรงมา และซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง ส่วนตัวเขานั้นไม่มีอะไรใกล้เคียงเลยสักอย่าง
“ใช่ เหมือนมาก เหมือนตรงที่ให้ความสำคัญกับรินมากยังไงล่ะ” ว่าแล้วคุณพ่อก็หัวเราะหึๆในลำคออย่างมีเลศนัย
“ให้ความสำคัญ …กับริน” ฮารุกะทวนคำอีกฝ่ายพลางนึกทบทวนความรู้สึก …นั่นสินะ สำหรับเราแล้ว รินคือคนที่สำคัญที่สุดเสมอมา จากนี้ไปก็คงไม่แปรเปลี่ยนเช่นกัน
แต่ถึงกระนั้น ชายที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้คือคนที่รักรินมากที่สุด รักถึงขนาดยอมเสี่ยงตาย ไม่สิ เขาตายไปแล้ว แต่ก็ยังยอมลงทุนฝ่าฝืนกฎของยมทูตเพื่อกลับมาพบหน้าลูกชาย
ความรู้สึกที่เรามีให้รินมันยิ่งใหญ่เทียบเท่าความรักของเขาไม่ได้เลยสักนิด ดังนั้นมันคงไม่แปลกที่รินจะมีความสุขยามได้อยู่กับเขาคนนี้มากกว่ามีความสุขตอนที่อยู่กับเราสินะ…
ถ้าหากว่าชายคนนี้สิงร่างเราแล้วทำให้รินมีความสุขได้ล่ะก็…
“เอ่อ คุณพ่อครับ” ฮารุกะเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งไปพักใหญ่
“หืม?”
“คุณพ่ออยากเจอรินอีกมั้ยครับ”
“ฮ่าๆๆ ถามได้ ก็ต้องอยากเจออยู่แล้วสิ ลูกชายสุดที่รักทั้งคน”
“คุณพ่อจะยืมร่างผมอีกก็ได้นะครับ” ฮารุกะเสนออย่างหนักแน่น คุณพ่อชะงักนิดหนึ่งด้วยความไม่คาดคิด แต่แล้วก็ตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง
“พูดจริงรึเปล่า? ฮารุกะคุงเป็นเด็กดีจังนะ! พูดแบบนี้ทำเอาฉันชักไม่อยากกลับไปโลกโน้นซะแล้วสิ”
รอยยิ้มของคุณพ่อทำให้ฮารุกะอดยิ้มตามไม่ได้ แม้ว่าในใจจะรู้สึกปวดแปลบก็ตาม
…แบบนี้ดีแล้วล่ะ ถ้าทำให้รินมีความสุขได้ ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน ฉันก็จะทำ
“งั้นฉันคงต้องรบกวนเธออีกเร็วๆนี้ ฝากด้วยล่ะ!” สิ้นเสียงร่าเริงของคุณพ่อ ภาพตรงหน้าพลันสั่นสะเทือนราวกับโลกกำลังจะถล่มลงเดี๋ยวนั้น และในชั่วอึดใจต่อมา ฮารุกะก็พบว่าตนเองกลับมาอยู่ในอ่างอาบน้ำอีกครั้ง
…ถึงจะเหมือนกับฝันไป แต่นั่นคือพ่อรินจริงๆไม่ผิดแน่
ได้โปรดทำให้รินมีความสุขด้วยเถอะครับ คุณพ่อ
to be continued