AN EYE FOR AN EYE

[AN EYE FOR AN EYE]

Yuri!!! on ICE  fanfiction

Victor Nikiforov+Yuri Katsuki

วิคเตอร์ นิคิฟอลอฟเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาเดินกลับมายังห้องนอน ทว่าเมื่อเปิดประตูออก ก็ชะงักไปเล็กน้อย เมื่อพบร่างหนึ่งนอนอยู่บนเตียง

ขายาวๆ สาวเท้าก้าวไปนั่งตรงริมเตียง ดวงตาสีอ่อนจ้องมองเจ้าหญิงนิทราของเขา…ยูริ คัตสึกิบุคคลผู้กำลังหลับสนิทไม่รู้สึกตัว แม้เขาจะเดินเข้ามานุ่งจนเตียงยวบลงก็ตาม

หลังย้ายโฮมริงก์มาอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ยูริก็ย้ายมาอยู่บ้านของเขา ทั้งยังต้องปรับตัวพอประมาณ ไหนจะเรื่องภาษา การฝึกซ้อม การเดินทาง ฯลฯ ซึ่งคงจะทำให้เจ้าตัวอ่อนเพลีย พอถึงบ้านกินข้าวอาบน้ำเสร็จทีไรเป็นต้องหลับเป็นตายตลอด

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาในส่วนที่ไม่ใช่ครู-ศิษย์นั้น ยังไม่มีคำเรียกระบุสถานะ พวกเขาจับมือกันบ้าง หอมแก้มกันบ้าง แต่กับจูบ…นอกจากตอนแข่งที่จีนซึ่งเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนแล้ว ก็ยังไม่มีครั้งที่ 2 อีกเลย

เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นดูเด็กนักยามหลับ เมื่อเทียบกับอายุ แก้มตุ่ยๆ ที่ดุนอยู่กับหมอนนั่น ทำเอาคนที่ได้ชื่อว่าเป็น Living Legend อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้

‘น่ารัก’

หมูน้อยของเขามักทำให้เขารู้สึกเอ็นดูและรักใคร่เช่นนี้ได้เสมอ

การเปรียบอีกฝ่ายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ทำให้เขาคิดไปถึงว่าสิ่งที่จะปลุกเจ้าหญิงให้ตื่นจากการหลับใหลได้ก็คือ ‘จุมพิต’

‘วิ้ว~’ เขาผิวปากเบาๆ อย่างชอบใจในความคิด

คิดแล้วก็ลงมือปฏิบัติ

วิคเตอร์ขยับตัวคร่อมร่างของยูริไว้ เขาจุมพิตที่แหวนของตัวเอง ก่อนจะไล่ไปจุมพิตที่แหวนของยูริ แล้วลากริมฝีปากไล่เรื่อยไปตามแขน ลาดไหล่ ลำคอ  คาง ปิดท้ายด้วยการประกบลงไปที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย

จุมพิตเป็นไปอย่างเชื่องช้า ทว่าเวียนซ้ำอยู่อย่างนั้น

ร่างข้างใต้เริ่มส่งเสียงอืมอา…ไม่รู้ว่ารำคาญหรือต้องการวอนขอ

‘ยูริ…ยูริ…’ วิคเตอร์ส่งเสียงเรียกในใจ ด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมา เขาอยากตักตวงและอิ่มเอมกับการลิ้มรสหมูน้อยของเขาในช่วงเวลานี้ไปอีกสักพัก

ทว่าคำขอนั้นก็ไม่เป็นผล

“ทำอะไรน่ะ วิคเตอร์!?”

ทันทีที่รู้สึกตัว ยูริผลักร่างของวิคเตอร์ออกแล้วแผดเสียงถามทันที สีหน้าที่แสดงออกไม่ได้บ่งบอกว่าโกรธ แต่คล้ายกับว่าสับสน ไม่เข้าใจ

“ทำอะไรงั้นเหรอ ก็จูบไง หรือว่ายูริไม่รู้จัก จูบ…Kiss…поцелуй”

“ผมรู้จักจูบน่า แต่ผมถามว่ามาจูบผมตอนหลับทำไม!?”

“ก็ถ้าเป็นตอนตื่นยูริคงไม่ยอมให้จูบง่ายๆ นี่”

“……อึก”

คนเพิ่งตื่นชะงักไป ดูท่าในหัวคงกำลังประมวลผล สรรหาถ้อยคำมาต่อว่า

“ทะ ทำแบบนี้ขี้โกงนี่นา ทำตอนที่ผมไม่รู้สึกตัว ก็ไม่ต่างกับการขืนใจนั่นแหละ”

วิคเตอร์ทำหน้าสลดทันทีเมื่อได้ยินคำว่าขืนใจ

ยูริเองก็คล้ายจะรู้สึกตัวว่าอาจพูดแรงเกินไป เลยอึกอักพยายามหาคำพูดปลอบ แม้ว่าตัวเองจะเป็นผู้เสียหายก็ตาม แต่ยังไม่ทันคิดออกว่าจะพูดอะไรดี อีกฝ่ายก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อน

“งั้นถ้าทำตอนรู้สึกตัวก็ได้สินะ” ว่าปุ๊บก็คว้าตัวอีกฝ่ายหมับแล้วตั้งใจประกบจูบแบบไม่ถามคำยินยอมอยู่ดี แต่คราวนี้หมูน้อยของเขาตั้งตัวทัน จึงเอาฝ่ามือมาบังริมฝีปากได้ทันท่วงที วิคเตอร์เลิกคิ้วแปลกใจ ตอนแรกก็เสียดายที่อดลิ้มรสริมฝีปากคู่นั้นอีกครั้ง แต่พลันก็นึกขึ้นได้ เขาจุมพิตหลังมือที่ป้องไว้เบาๆ ก่อนจะลากลิ้นสากคล้ายกำลังชิมรส พลางสายตาก็เหลือบมองหน้ายูริไปด้วย

ยูริกลอกตา สีหน้าคล้ายจะวิงเวียน รู้สึกเสียแรงที่นึกเป็นห่วงความรู้สึกของคนที่ดูไม่ได้มีทีท่าว่าจะสำนึกผิดขึ้นมาทันควัน

“ฟังนะ วิคเตอร์! ประเด็นไม่ได้อยู่แค่ตรงที่ผมหลับหรือไม่หลับ รู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัว แต่คือผมไม่ยินยอม เข้าใจไหม!?”

คราวนี้คนฟังทำหน้าจ๋อยกว่าเก่า เมื่อเห็นเขาชักจะเริ่มโกรธขึ้นมา

“อะ อืม ฉันผิดไปแล้ว” เสียงตอบกลับก็เริ่มร้อนรนเพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด

“เฮ้อ…..”

เสียงถอนหายดังขึ้น

“งั้นแบบนี้คงต้องลงโทษกันหน่อยแล้ว”

“ก็ได้..ยูริอยากลงโทษฉันหรือให้ฉันชดใช้ให้ยังไงก็บอกได้เลย!”

“วิคเตอร์ขี้โกง…ผมหลงใหลคุณมาเป็นครึ่งชีวิต แล้วผมจะไปกล้าลงโทษคุณได้ยังไง” ยูริก้มหน้าพึมพำทำให้วิคเตอร์มองไม่เห็นสีหน้าขณะกำลังพูด

“ฉันขอโทษ…ยูริไม่ต้องเกรงใจ ฉันยอมรับว่าฉันไม่ดีเอง”

“งั้น…แบบนี้…คงต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน…”

“เอ๊ะ…?”

ยังไม่ทันได้ถามว่าหมายความว่ายังไง คราวนี้ยูริเป็นฝ่ายโอบท้ายทอยและรั้งวิคเตอร์เข้ามาจูบ แม้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นจูบที่ช่ำชอง แต่ก็ดุดันและหนักแน่นเกินกว่าอิมเมจในหัววิคเตอร์ที่มีต่อคนตรงหน้า

จุ๊บ…..

จุ๊บ………

จุ๊บ………………..

จุ๊บ………………………..

ฮ่าห์……………………………..

“แฮ่ก…แฮ่ก….ทีนี้…ก็ถือว่าเจ๊ากันแล้วนะ” คนกล่าวเอ่ยทั้งที่กำลังหอบและหน้าแดงแปร๊ด

ด้านคนโดนลงโทษนั้นก็หน้าแดงไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จะต่างออกไปก็ตรงที่ทำตาโต สีหน้าเหมือนกำลังตื่นตาตื่นใจ…

“Amazing!?”

.

.

.

.

ยูริ คัตสึกิเคยบอกว่าเขามักทำให้เจ้าตัวประหลาดใจไม่หยุดหย่อน

แต่ดูท่าวิคเตอร์ นิคิฟอลอฟเองก็โดนเจ้าหมูน้อยทำให้ประหลาดใจไม่หยุดหย่อนไม่แพ้กันเลยทีเดียว

End….?

แถมท้ายอีกนิด

“เอ่อ ยูริ…ฉันมีเรื่องจะสารภาพล่ะ”

“เรื่องอะไรเหรอ วิคเตอร์?”

“ความจริงแล้วฉันแอบลักจูบยูริตอนหลับแทบทุกวัน ทุกครั้งที่มีโอกาสมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ฮาเซ็ตสึแล้วล่ะ เพราะงั้นยูริต้องลงโทษฉันในส่วนนั้นด้วยนะ!”

“หาาาาาาาาาาาาาาา!?”

“ตาต่อตา ฟันต่อฟันใช่ไหมล่ะ”

“โอ๊ย!? ทำไมถึงรู้สึกว่าฝ่ายผมมีแต่จะเสียกับเสียเนี่ย!!”


ตอนแรกลังเลระหว่างยูริ คัตสึกิกับคัตสึกิ ยูริ แต่ใช้แบบแรกไปเพราะคิดว่าไหนๆ ก็เหมือนจะบรรยายจากมุมวิคแล้ว ก็ให้เป็นเรียกแบบฝรั่งที่เอาชื่อขึ้นก่อนไปแล้วกันค่ะ

เป็นฟิคที่คิดพล็อตได้สั้นๆ ว่าให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับจูบ แต่กว่าจะลงมือเขียนจริงได้นั้นก็ยากเอาการกว่าจะเข็นออกมาได้ค่ะ รู้สึกห่างหายจากการเขียนแฟนฟิคชั่นไปนานมาก ถ้าเจอจุดผิดพลาดก็บอกกันได้หรือไม่ก็ทำเป็นเมินๆ กันไปได้นะคะ (ฮา)

ที่จริงฉากในตอนที่ 7 เราไม่อยากสรุปว่าเป็นจูบ เพราะถ้าอฟช.ไม่ยืนยัน เราก็อยากยึดตามภาพที่เขานำเสนอให้เห็น แต่พอมาเขียนแล้วรู้สึกว่าไหนๆ ก็เป็นแฟนฟินชั่น เพราะงั้นตีความเข้าข้างตัวเองไปเลยแล้วกัน! ไปซะงั้นค่ะ

ตรงคำว่าจูบภาษารัสเซีย สารภาพว่าไปใช้อากู๋ทรานสเลตมา ที่จริงก็ลังเล จะใส่ไปดีไหม เพราะไม่รู้จริง มันอาจจะแปลกๆ ก็ได้ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เลยยัดใส่ไปทั้งๆ อย่างนั้น 55

เรื่องคู่่ ใช้เครื่องหมาย + เพราะเขียนๆ ไปรู้สึกจะคิดเป็นทางไหนก็ได้(มั้ง?) ก็เลยไม่อยากระบุชัดไปเท่าไหร่ค่ะ (ฮา)

ไม่รู้จะมีพล็อตหรือไฟในการเขียนฟิคเรื่อนี้อีกไหม แต่คิดว่าถ้ามีก็คงดีค่ะ XD

FLOW (10)

『FLOW』

Free! fanfiction
Rate: PG

※※※※※※

(10)

มาโกโตะอยากจะถอนหายใจให้ลมหมดปอด ถึงแม้เมื่อวานเขาจะพูดราวกับให้คำปรึกษาฮารุกะ แต่ที่เขาพูดเช่นนั้นออกไปได้ก็เพราะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์จริง เขายังคงทำใจเรื่องฮารุกะไม่ได้ แค่เห็นสองคนนั้นนั่งข้างกัน ร่างกายของเขาก็พยายามหาทางกีดกันโดยสัญชาตญาณแล้ว จะหาว่าเขาดีแต่ปากก็ได้ แต่เชื่อเถอะว่าคนเราไม่ได้ตัดใจกันง่ายๆ หรอก

มาโกโตะคีบโอโคโนมิยากิมากินอย่างไม่รับรู้รสชาตินัก พลางมองหน้าฮารุกะ ฝ่ายนั้นก็กำลังคีบโอโคโนมิยากิกินเงียบๆ แต่เนื่องจากชิ้นใหญ่เกินไปซอสจึงเลอะมุมปาก ขณะที่มาโกโตะกำลังมองหาทิชชู่ รินก็ยื่นมือไปปาดซอสนั้น

“กินเลอะเป็นเด็กๆ ไปได้” รินว่าพลางแลบลิ้นเลียนิ้วที่เปื้อนซอส ถึงปกติจะหน้าตายแค่ไหน แต่เจอแบบนี้ฮารุกะก็อดเขินจนหน้าแดงไม่ได้ ส่วนมาโกโตะนั้นเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่างไปแล้ว

ฮารุกะก้มหน้าก้มตากินอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะความเขิน จนโอโคโนมิยากิในจานหมดลงอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มอยากจะสั่งหน้าซาบะมาเพิ่ม แต่ก็เกรงใจเพื่อนร่วมโต๊ะที่ต้องแบ่งกันกินตามมารยาท แต่จะให้เขากินหน้าอื่นๆ ที่พวกรินสั่งมา เขาก็ไม่ค่อยอยากกินเท่าไหร่ ตอนที่ฮารุกะกำลังลังเลอยู่นั่นเอง…

“ฮารุ ซาบะนี่คาวชะมัด นายเอาของฉันไป แลกกับหน้ากิมจิ ฉันชอบ” รินพูดพลางคีบโอโคโนมิยากิหน้าซาบะของตัวเองมาใส่ในจานของฮารุกะ แล้วยื่นจานที่ตอนนี้ว่างเปล่าไปรับโอโคโนมิยากิกิมจิส่วนของสองคนจากมิโคชิบะ

ฮารุกะก้มหน้าลงซ่อนยิ้มกับตัวเอง จริงๆ รินอาจจะแค่ไม่ชอบซาบะ แล้วก็อยากกินหน้ากิมจิก็ได้ แต่ฮารุกะก็อยากจะเข้าข้างตัวเองว่ารินทำเพื่อให้เขาได้กินหน้าซาบะที่ชอบ

…ฮื่อ ไม่นะ ห้ามคิดเข้าข้างตัวเอง…

ฮารุกะคิด พยายามไล่ความคิดน่าดีใจนั้นออกจากหัว ตอนมานั่งที่โต๊ะเขาเพิ่งคิดเองว่าอยากจะเลิกเพ้อไปฝ่ายเดียว นี่ผ่านไปไม่กี่นาทีเขาก็กลับมาเป็นแบบเดิมอีกแล้ว

อาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายในช่วงสองวันนี้ของฮารุกะทำให้รินหงุดหงิดมาหลายรอบ แต่นั่นกลับทำให้รินยิ่งอยากเอาใจให้ฮารุกะอารมณ์ดี และกลับมาคุยเล่นกับเขาแบบปกติ (ไม่ใช่พูดจาน้ำเน่าชวนขนลุก) ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่รินยอมอ่อนให้ฮารุกะแบบนี้ แต่เขาก็รู้สึกว่าที่จริงเขาอยากทำแบบนี้มานานแล้ว เพียงแต่เพิ่งจะมีอะไรมากระตุ้นจนเขาแสดงออกช่วงนี้

…หรือเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้ฮารุหัวกระแทกจนเพี้ยน… รินขมวดคิ้ว ถึงเหตุผลจะดูเป็นไปได้ แต่เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่

…เพราะอะไรกันนะ ทำไมยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นเร็ว…

“วะ รินมันเหมือนจะฉลาดขึ้นแล้วนี่” คุณพ่อพูดออกมาคนเดียวพลางตบเข่าฉาด

…ถือว่าแผนเราใช้ได้ ถึงเราจะไม่แน่ใจก็เถอะว่าได้วางแผนอะไรไป นอกจากแผนแกล้งเด็กๆ รึเปล่า… ชายหนุ่มคิดพลางหัวเราะหึหึคนเดียว

‘เอ้า ฮารุกะคุง ป้อนรินหน่อยสิ เจ้ารินน่ะเพราะเป็นพี่ ปกติแล้วต้องคอยดูแลน้อง เลยไม่ค่อยยอมอ้อนคนอื่นเท่าไหร่ แต่ที่จริงแล้วก็ชอบเวลามีคนคอยเอาใจมากเลยนะ’ เสียงยุของพ่อรินดังขึ้นในหัว

…ป้อนเหรอ…ให้ตายเถอะ ฮารุกะแอบเครียดเบาๆ แต่ในเมื่อคนสูงวัยกว่าแถมยังรู้จักรินดีให้คำแนะนำมา เลยตัดสินใจว่าจะยอมข่มความอายแล้วลองดูสักตั้ง

เขาสูดใจเข้าลึกๆ ก่อนจะใช้ตะเกียบโอโคโนมิยากิหน้ากิมจิในจานตัวเอง แล้วยื่นไปตรงหน้าคนข้างๆ

“อ่ะ ริน”

‘บอกว่า อ้าม~ ด้วยสิ ฮารุกะคุง’

“อะ…อ้าม~” แม้ใบหน้าจะนิ่งเฉยเป็นปกติ แต่ก็มีสีแดงของความเขินอายย้อมอยู่จางๆ ไปจนถึงใบหู

น่ารัก…..รินมองคนข้างๆ ตาค้าง ก่อนจะแอบสบถด่าตัวเองในใจเบาๆ และทุบพื้นรัวๆ เมื่อเผลอคิดไปว่าอยากจะกินตัวคนป้อนมากกว่าโอโคโนมิยากิซะอีก

‘อ้ำ’ โอโคโนมิยากิที่ฮารุกะคีบอยู่เข้าปากไปเรียบร้อย

แต่ไม่ใช่ปากของคนที่เขาตั้งใจจะป้อนแต่เป็นปากของประธานชมรมว่ายน้ำซาเมสึกะที่ลงทุนลุกขึ้นชะโงกหน้าข้ามฝั่งมากิน

“ขอบใจนะ นานาเสะคุง”

มาโกโตะแอบลอบยกนิ้วโป้งชมประธานอยู่ในใจด้วยความซาบซึ้ง

“กัปตัน ฮารุกะป้อนให้ผมไม่ใช่เหรอไง!”

“อ้ออั๊นเอ๋นอายไอ้อินอั๊กอีอ้อเอยอินแอนไอ้ (ก็ฉันเห็นนายไม่กินสักทีก็เลยกินแทนให้)” มิโคชิบะตอบไปเคี้ยวไปตุ้ยๆ

ส่วนฮารุกะนั้นช็อกค้างไปแล้ว ชิ้นส่วนของความกล้าที่เขาอุตส่าห์ข่มความอายทำลงไปสลายกลายเป็นสสารไปอยู่ในปากมิโคชิบะเรียบร้อย

“โอ๋นะ ฮารุ อย่าคิดมากเลย ฉันให้ซาบะนะ” มาโกโตะคีบซาบะมาให้พยายามปลอบ

เหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติที่ถูกฝึกฝน(?)มานานนม พอเห็นมาโกโตะคีบอาหารมาให้ ฮารุกะก็ชะโงกตัวไปกินกับตะเกียบเลยโดยไม่ได้คีบต่อมาวางในจาน

“โอ้ นานาเสะคุงนี่หน้าตอนกินเหมือนโลมาได้อาหารเลยนะ น่ารักดีจริงๆ อ่ะงั้นฉันให้ซาบะในส่วนของฉันด้วยเหมือนกัน” มิโคชิบะชะโงกมายื่นซาบะที่คีบไว้มาจ่อให้ฮารุกะถึงปาก ฮารุกะชั่งใจอยู่ชั่วครู่ แต่พอคิดว่าคนคนนี้อาวุโสกว่าแถมยังยอมให้พวกเรามาร่วมโต๊ะทั้งๆ ที่เจ้าตัวจองเหมาร้านไว้ เลยไม่ปฏิเสธ อ้าปากกินซาบะที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างว่าง่าย

เห็นแบบนั้นมีรึรินจะยอมแพ้ แม้ซาบะในจานเขาจะหมดไปแล้ว แต่เขาก็หาทางออกได้โดยการคีบซาบะที่ยังเหลืออยู่จากจานมิโคชิบะมาป้อนแทน

“เอ้า อ้าม ฮารุ” ไม่ว่าเปล่ามืออีกข้างยังแอบจับมือฮารุไว้เหมือนไม่ยอมให้คนข้างๆ ได้หนีกลายๆ แต่เพราะมีโต๊ะคั่นกลางไว้ มาโกโตะและมิโคชิบะที่นั่งอยู่ตรงข้ามจึงมองไม่เห็นมือนั้น

ตาสีฟ้าใสไหวระริกอย่างดีใจ ก่อนที่ปากของฮารุกะจะค่อยๆ อ้าเข้ามาใกล้เพื่องับซาบะตรงปลายตะเกียบ

รินแอบเห็นลิ้นเล็กๆ สีแดงๆ ในนั้น และรู้สึกว่ามันช่างเซ็กซี่อย่างน่าประหลาดจนเผลอจินตนาการไปว่าถ้าสิ่งที่เขายื่นให้ไม่ใช่ซาบะแต่เป็น***ล่ะก็…

กึก พอรู้ตัวว่าตัวเองชักจะคิดเลยเถิด รินถึงกับชะงักไปและต้องสะบัดหัวแรงๆ ไล่ภาพในหัวออกไปซะ

….นี่เราคิดอะไรอยู่เนี่ย ฮารุเป็นผู้ชายและเราก็เป็นผู้ชายทั้งแท่งนะเฟ้ย!

ด้านฮารุกะก็ไม่ได้สังเกตถึงอาการผิดปกติของรินเลยแม้แต่น้อย เพราะกำลังปลาบปลื้มใจที่รินป้อนซาบะให้

…ไม่รู้ว่าอุปาทานไปเองรึเปล่า แต่เขารู้สึกว่า ซาบะชิ้นที่รินป้อนให้ อร่อยหวานเป็นที่สุด

แต่ปฏิกิริยาของฮารุกะและรินไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของมาโกโตะไปได้ ส่วนมิโคชิบะนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะกำลังขะมักเขม้นกับการทำโอโคโนมิยากิชิ้นใหม่บนกระทะอยู่เนื่องจากชิ้นสุดท้ายถูกรินคีบแย่งไปป้อนให้ฮารุกะแล้ว เลยไม่ได้สนใจเงยหน้ามองใครทั้งนั้น

“นี่ ฮารุ ขากลับฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนายหน่อยน่ะ”

คำว่า ‘เรื่องที่อยากจะคุยกับนาย’ ทำรินชะงักกึก

“เรื่องอะไรเหรอ คุยมาเลยก็ได้นี่”

“ที่นี่คงไม่สะดวกเท่าไหร่ เอาเป็นว่าไว้ตอนขากลับละกันนะ”

“ก็ได้” ฮารุกะแปลกใจนิดๆ แต่ไม่ได้สงสัยอะไร ผิดกับรินที่คาใจอยากรู้แทบตาย ว่ามาโคโตะจะคุยอะไรกับฮารุกะกันแน่ โดยไม่ได้นึกย้อนดูเลยว่าตัวเองก็มี ‘เรื่องนั้น’ กับมิโคชิบะที่ไม่ได้บอกพวกฮารุกะเหมือนกัน

เมื่อศึกป้อนซาบะให้ฮารุกะสงบลง และโอโคโนมิยากิทั้งหมดลงไปอยู่ในกระเพาะทุกคนเรียบร้อยแล้ว ความเงียบชวนให้อึดอัดก็แผ่เข้าปกคลุมไปทั่วอีกครั้ง มิหนำซ้ำประธานชมรมผู้ชวนสองหนุ่มต่างโรงเรียนมานั่งร่วมโต๊ะยังลุกหนีไปคุยกับสมาชิกชมรมคนอื่นๆ หน้าตาเฉยอีกต่างหาก บนโต๊ะจึงเหลือเพียงริน ฮารุกะ และมาโกโตะนั่งอยู่ตามลำพัง

“ฮารุ คือว่า…” รินอ้าปากพูดได้ไม่ทันไร จู่ๆ เด็กหนุ่มผมสีเทาผู้เป็นรุ่นน้องก็โผล่พรวดมานั่งลงแทนที่ประธานชมรมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“รุ่นพี่รินครับ ทุกคนตกลงกันว่าเดี๋ยวจะไปร้องคาราโอเกะกันต่อ รุ่นพี่จะไปมั้ยครับ งานนี้กัปตันรีเควสต์เองเลยนะครับ” นิโทริถามด้วยดวงตาเป็นประกาย แฟนคลับตัวยงของรินคนนี้มีหรือจะยอมปล่อยรินกลับบ้านไปง่ายๆ

“ชิ เจ้าประธานบ้าคาราโอเกะเอ๊ย” รินพึมพำเบาๆ เวลานี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะไปนั่งในห้องมืดๆ ที่มีผู้ชายล่ำบึ้กทั้งฝูงนั่งถมึงทึงฟังประธานชมรมร้องเพลงมาราธอนหรอกนะ อันที่จริงแล้ว หากยังพะวงเรื่องของฮารุกะอยู่อย่างนี้เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น

“รุ่นพี่ไปด้วยกันเถอะนะครับ นะ ผมอยากฟังรุ่นพี่ร้องเพลง นะ” พูดไม่พูดเปล่า นิโทริยังลุกขึ้นโน้มตัวเข้ามาหารินด้วยดวงตาคาดหวังเต็มเปี่ยม รินรู้สึกเหมือนเห็นภาพหลอนว่ารุ่นน้องคนนี้กำลังกระดิกหางระริกระรี้ โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าฮารุกะที่นั่งข้างๆ หน้าเจื่อนลงทันที

“หนวกหูน่า ฉันไม่ไปหรอก นายอยากไปก็ไปสิ ไอ” รินตอบด้วยท่าทางรำคาญ ทว่าชื่ออีกฝ่ายที่เรียกอย่างเต็มปากเต็มคำนั้นก็ทำให้คนนั่งข้างๆ หัวใจกระตุกวูบ

…เรียกชื่ออย่างสนิทสนมอีกแล้ว อ้อ ใช่สิ เขาเป็นรูมเมทกันนี่นา จะสนิทกันถึงขั้นนั้นก็ไม่เห็นแปลก ว่าแต่ขั้นนั้นนี่มันขั้นไหนแล้วล่ะ? แล้วทำไมเวลาคุยกันต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนั้นด้วย? หรือว่าจะเคยใกล้กันยิ่งกว่านั้นมาแล้ว? เด็กคนนี้ได้เห็นรินในแบบที่เราไม่เคยเห็นบ้างหรือเปล่า? ได้อยู่เคียงข้างรินทั้งกลางวันและกลางคืน ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เรากำลังอิจฉาเด็กคนนี้…

ความคิดฟุ้งซ่านพลันหยุดลงเมื่อรินยื่นมือมาบีบมือฮารุกะเบาๆ แวบแรกฮารุกะคิดว่ารินสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของเขา ทว่าเมื่อเงยหน้ามองอีกฝ่ายจึงเข้าใจว่านั่นคือสัญญาณบ่งบอกว่า ‘ช่วยด้วย เจ้านี่ตื๊อไม่เลิกซะที’

“ขอโทษนะ แต่ว่ารินมีนัดกับฉันก่อนแล้ว” ฮารุกะเอ่ยเสียงเรียบขณะมองหน้านิโทริ อีกฝ่ายจึงทำหน้าจ๋อยและยอมเลิกตื๊อแต่โดยดี

“มีนัดแล้วก็ช่วยไม่ได้นะครับรุ่นพี่ เฮ้อ เสียดายจัง เอาไว้วันหลังเราค่อยไปคาราโอเกะด้วยกันสองคนดีมั้ยครับ อ๊ะ สามคนก็ได้ ชวนกัปตันไปด้วยก็ดีเหมือนกัน” รุ่นน้องผู้ใสซื่อพูดขึ้นมาโดยไม่ได้รู้สึกถึงสถานการณ์ตึงเครียดบนโต๊ะเลยสักนิด

“ความคิดดีนี่ นิโทริ! จะไปเมื่อไหร่บอกได้ทุกเมื่อ ฉันพร้อมเสมอ! ที่หมู่บ้านฉันเรียกฉันว่าราชาแห่งคาราโอเกะเชียวนะ วะฮ่าๆๆๆๆๆ ว่าแต่มีฉันไปเป็นก้างขวางคอจะดีแน่เร้อ” มิโคชิบะที่โผล่มาจากข้างหลังพูดพลางหัวเราะลั่น คำพูดนั้นทำให้ฮารุกะที่เริ่มหมดความอดทนลุกพรวดขึ้นจนคนทั้งโต๊ะหันควับไปมองเป็นตาเดียว

“ฉันขอตัวกลับก่อนดีกว่า ไปกันเถอะ มาโกโตะ”

คนถูกเรียกจับสังเกตได้ถึงน้ำเสียงสั่นเครือน้อยๆ จึงรีบลุกขึ้นก่อนจะพาฮารุกะเดินออกไปจากร้านทันที

“อ้าวเฮ้ย เดี๋ยวสิ” เสียงตะโกนไล่หลังอย่างร้อนรนนั่นไม่ใช่เสียงของริน ทว่ากลับเป็นเสียงของประธานหนุ่มผมแดงเข้ม “กินฟรีได้ไง นั่นมันงบชมรมเรานะเฟ้ย!”

ฝ่ายรุ่นน้องผู้ใสซื่อก็ไม่วายหันมาถามรินหน้าตาเฉย “ไหนบอกว่ามีนัดกันแล้วไงครับ?”

“โธ่เว้ย!” รินสบถก่อนจะลุกพรวดพราดตามออกไป

to be continued

FLOW (8)

『FLOW』

Free! fanfiction
Rate: PG

※※※※※※

(8)

รินที่แยกจากทั้งสองคนโดยที่ยังไม่หายหงุดหงิดกลับไปสมทบกับนางิสะและเรย์เพื่อบอกลาสั้นๆ แล้วรีบผละจากมา ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะสนุกกับงานเทศกาลใดๆ ทั้งสิ้น

…ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้…

เมื่อกี้ฮารุยังยิ้มให้เรา พูดว่าอยากอยู่กับเราเพียงลำพัง แถมยังดูท่าทางสนุกสนานขนาดนั้น แต่ไม่ทันไรก็ไปยืนร้องไห้ซบอกเจ้ามาโกโตะซะแล้ว หมอนั่นคิดอะไรอยู่นะ ไม่เข้าใจเอาซะเลย

คิดไปคิดมาก็ยิ่งโมโหตัวเอง

ทำไมมาโกโตะเข้าใจฮารุทุกอย่างได้โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร แล้วทำไมเราถึงไม่เข้าใจนะ ทำไม…

หัวของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยคำถาม ทว่ายิ่งคิดใคร่ครวญเท่าไหร่ เมฆหมอกทะมึนที่ปกคลุมห้วงความคิดก็ยิ่งหนาทึบขึ้นเท่านั้น

ครั้นเมื่อหลับตาลงสงบสติอารมณ์ ภาพน้ำตาของฮารุกะก็ผุดขึ้นมาเบื้องหน้า

“โธ่เว้ย!!” รินสบถเสียงดังลั่นพลางทุบตู้กดน้ำอัตโนมัติที่อยู่ระหว่างทางกลับบ้านดังโครม

“มัตสึโอกะ? มัตสึโอกะนี่นา มาทำอะไรแถวนี้” เสียงร้องทักอย่างสนิทสนมดังขึ้น

“กัปตัน?” รินเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มผมสีแดงเข้ม เขาต่างหากที่อยากถามว่ามิโคชิบะ เซย์จูโร่ ประธานชมรมว่ายน้ำโรงเรียนซาเมสึกะมาทำอะไรแถวนี้ แต่เมื่อดูจากชุดยูกาตะที่อีกฝ่ายสวมอยู่ คงไม่พ้นมาร่วมงานที่ศาลเจ้าเหมือนกันกระมัง

“นายนี่นะ แค่โดนตู้กดน้ำกินเหรียญ ไม่เห็นต้องทุบตู้แรงขนาดนั้นเลย” รุ่นพี่อารมณ์ดีพูดเองเออเองพลางหยอดเหรียญกดเครื่องดื่มดังแกร๊ง

“เปล่าครับ ผมแค่หงุดหงิดนิดหน่อยน่ะ…” รินตอบเสียงเรียบ ทว่าอีกฝ่ายดูท่าทางกำลังง่วนอยู่กับการเลือกเครื่องดื่มโดยไม่สนใจคำตอบ รินจึงตั้งท่าจะปลีกตัวออกมา

“เอ้านี่ ฉันเลี้ยง” มิโคชิบะเอ่ยพลางโยนนมสตรอเบอร์รี่กล่องสีชมพูหวานแหววมาให้ รินหันขวับไปรับไว้ได้พอดิบพอดี เด็กหนุ่มมองกล่องนมในมือก่อนจะเบะปาก

“กัปตัน ผมไม่ชอบของหวานๆ…”

“อย่าเรื่องมากหน่อยเลยน่า ไอ้หนู ชีวิตมันไม่เป็นอย่างที่นายคิดเสมอไปหรอกนะ รีบดื่มนมแล้วกลับบ้านนอนซะ ตื่นมาอีกทีเรื่องที่นายกลุ้มใจอยู่มันอาจกลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วก็ได้ เลิกทำหน้าเหมือนท้องผูกได้แล้ว”

คนถูกสวดฟังแล้วสะอึกเบาๆ …แค่เห็นหน้ากันแวบเดียวดูออกถึงขนาดนี้เลยหรือ สมแล้วที่เป็นกัปตันทีมที่ทุกคนนับถือ ถึงแม้ว่าบางทีจะเพี้ยนๆ ไปบ้างก็ตาม

รินหันหลังผละจากมาโดยไม่ลืมโบกกล่องนมในมือเบาๆ แทนคำขอบคุณ ระหว่างทางกลับบ้านเขาลองดื่มและพบว่า

“แหวะ รสชาติเห่ยชะมัด”

หมอกควันในหัวบรรเทาลงนิดหนึ่ง

ชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป งั้นเหรอ…

รินหลับตาลงอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ภาพที่ผุดขึ้นมากลับเป็นรอยยิ้มของชายที่เขาไม่ได้พบมานานหลายปีแล้ว ตั้งแต่คืนที่พายุโหมกระหน่ำคืนนั้น…

 

‘ริน ว่ายน้ำแข่งกับพ่อมั้ย’ เมื่อครั้งที่เขาเป็นเด็กตัวน้อย พ่อมักจะเอ่ยปากถามเขาเช่นนี้เสมอ

พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยพ่ออายุเท่าเขา พ่อว่ายน้ำได้เร็วที่สุดในเมือง และพ่อฝันว่าจะเป็นนักว่ายน้ำโอลิมปิก ถึงแม้ว่าพ่อจะหันมาเป็นชาวประมงเพื่อเลี้ยงครอบครัว พ่อก็ไม่เคยลืมความฝันนั้น หลายครั้งที่เขาถามพ่อกลับว่าพ่อเสียใจมั้ยที่ไม่ได้เป็นนักว่ายน้ำ ไม่ได้ไปโอลิมปิกตามที่ฝัน ทำไมพ่อยังไม่ลืมความฝันที่ไม่เป็นจริงเสียที

‘ถึงพ่อจะไม่ได้ไปโอลิมปิก พ่อก็ยังมีความสุขเพราะว่ามีรินกับโกนะ ที่พ่อไม่ลืมเพราะพ่อไม่เห็นว่าลืมแล้วจะทำให้อะไรดีขึ้น ถึงมันจะไม่เป็นจริง แต่พ่อก็มีความสุขที่ตัวเองมีความฝัน’ พ่อมักจะพูดเช่นนั้นเสมอ ตอนนั้นเขาไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของพ่อนัก แค่รู้สึกภูมิใจว่าพ่อพูดอะไรที่ฟังดูเท่

พ่อไม่เพียงแต่ว่ายน้ำเร็วและเท่เท่านั้น แต่พ่อยังเป็นผู้ชายที่ใจดีและเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เขาเคยรู้จัก แม้พ่อจะชอบทำตัวบ้าๆ บอๆ ขี้แกล้งเหมือนเด็กไม่รู้จักโตในบางครั้งก็ตาม พ่อแทบไม่เคยลงไม้ลงมือกับเขาและโก ถ้าทำผิด พ่อจะตักเตือนด้วยเหตุและผล เวลาเขากลับมาถึงบ้านหลังเลิกเรียน พ่อมักจะจับเขาขี่คออุ้มโกไว้ในอ้อมแขนและเหวี่ยงเล่นไปมาเรียกเสียงหัวเราะปนหวีดร้องสนุกสนานของเด็กๆ ถ้ากลับจากหาปลาในทะเล พ่อมักจะเล่าเรื่องราวสนุกๆ ที่เกิดขึ้นโดยมีเขาและน้องสาวอยู่บนตักคนละข้าง แม้ตัวของพ่อจะเหนียวเพราะเกลือทะเล แต่กลิ่นและสัมผัสนั้นก็ทำให้เขาอบอุ่นใจ และทุกครั้งที่ไปงานเทศกาล พ่อก็มักจะยิงตุ๊กตา ช้อนปลาทอง หรือซื้อของกินอร่อยๆ มาให้เสมอ

…ยิงตุ๊กตาเหรอ…

รินสะดุดเมื่อคิดถึงตรงนี้

…จะว่าไป วันนี้ฮารุก็อาสายิงตุ๊กตา ช้อนปลาทองให้เขานี่นา ท่าทางก็ดูคล้ายๆ พ่อด้วย…

รินหัวเราะขำกับความคิดของตัวเอง ดูท่าเขาจะฟุ้งซ่านเกินไป ถึงได้เอาเรื่องพ่อมาปนกับฮารุกะ สองคนนั้นจะไปเกี่ยวข้องกันได้ยังไง จะว่าฮารุกะเป็นลูกลับๆ ของพ่อก็ไม่น่าจะใช่

เมื่อคิดเช่นนั้น รินก็ปล่อยให้ตัวเองด่ำดิ่งไปกับความคิดเรื่องพ่อต่อ…

ครอบครัวมัตสึโอกะพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่คาดคิดในคืนที่พายุโหมกระหน่ำคืนนั้น ครอบครัวที่แสนอบอุ่นกลับขาดเสาหลักไปโดยไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่แม่เป็นคนเข้มแข็ง แม่ลุกขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญที่ค้ำจุนครอบครัวแทนพ่อ คอยเติมเต็มสิ่งที่ขาดให้เขาและน้อง ครอบครัวของเขาจึงยังมั่นคงแข็งแรง แต่ใครจะรู้…บาดแผลในใจเขาที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นั้นไม่อาจลบล้างได้…

บางครั้งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเพราะเขา ทำให้พ่อจากไปในคืนนั้น ถ้าเพียงแต่พ่อไม่มีเขา พ่ออาจจะได้เป็นนักว่ายน้ำทีมชาติอย่างที่หวัง พ่อคงไม่ต้องทิ้งชีวิตในทะเลที่บ้าคลั่งเพราะเป็นชาวประมง ถึงแม้จะรู้ว่าความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่ทุกครั้งที่นึกถึงพ่อ เขาก็เฝ้าโทษตัวเองอย่างห้ามไม่ได้

ตอนแรกที่เขาตัดสินใจจะทำตามความฝันของพ่อ ก็เพราะต้องการชดเชยเรื่องนี้ เขาอยากชดเชยให้พ่อที่ต้องละทิ้งความฝันของตัวเองเพื่อมาเป็นพ่อให้เขาจนสุดท้ายต้องจบชีวิตลง…ในฐานะชาวประมงที่ไร้การจดจำ

รินเฝ้ากดดันตัวเองจนเกินกว่าที่เด็กมัธยมจะรับได้ และเมื่อผิดหวัง เขาก็รู้สึกราวกับสูญเสียทุกอย่าง ลืมกระทั่งความสุขที่เคยว่ายน้ำกับพ่อและเพื่อนๆ การว่ายน้ำกลายเป็นยาขม เขาไม่ได้ชอบมัน แต่ก็ยังต้องกล้ำกลืนฝืนทนเพราะเชื่อว่ามันจะเยียวยาอะไรบางอย่างได้ เขาเฝ้าไขว่คว้าหาอะไรบางอย่างที่ตัวเองก็ตอบไม่ได้ คิดไปว่าต้องการชัยชนะในการแข่งมาเติมเต็มความผิดหวัง เขาคงจะลืมความสุขและความงดงามของการว่ายน้ำไปจนหมด

ถ้าไม่ได้พบกับ…ฮารุกะ…อีกครั้ง

 .

.

ด้านฮารุกะกับมาโกโตะ

“เมื่อกี้นายว่าไงนะมาโกโตะ” ฮารุกะทำหน้าไม่เชื่อหูกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

“ฉันบอกว่า ‘ฉันรู้ แต่รินไม่รู้’ น่ะ”

“พูดอะไรของนาย? ฉันไม่เข้าใจ ”

“ฮารุ ตอนนี้นายอาจไม่เข้าใจ หรืออาจจะแค่ไม่อยากยอมรับมัน แต่คนที่รู้ทุกเรื่องของนายอย่างฉันเป็นคนพูดเองรับรองว่าไม่มีผิดแน่”

“…..” ไม่มีคำตอบอะไรจากฮารุกะอีก

และหลังจากนั้นตลอดทางกลับบ้าน ก็ไม่มีบทสนทนาใดอื่นระหว่างทั้งสองคน…

พอถึงหน้าบ้านของตัวเองมาโกโตะถามฮารุกะว่าต้องการให้ไปส่งถึงที่บ้านมั้ย แต่ก็ถูกส่ายหน้าปฏิเสธ จึงได้แต่กล่าวลาก่อนจากกันสั้นๆ แค่ “บ๊ายบาย กลับบ้านระวังตัวด้วยนะ ฮารุ”

ช่างเป็นคำเตือนที่ทำให้คนฟังมุ่นคิ้วขมวด บ้านเขากับบ้านหมอนี่อยู่ห่างกันแค่ระยะไม่กี่ก้าว ยังจะเตือนเหมือนกับว่าเขาเป็นเด็กอมมืออยู่อีก แต่เพราะรู้ดีว่าคนพูดพูดด้วยความเป็นห่วง จึงไม่เกิดอารมณ์ที่จะสวนกลับเพื่อต่อปากตอบคำ

ทันทีที่ถึงบ้านฮารุกะรีบถอดชุดยูกาตะออกแล้วพุ่งไปแช่น้ำในห้องอาบน้ำทันที

วันนี้มีเรื่องไม่คาดคิด เรื่องน่าตกใจ เรื่องน่าดีใจ และเรื่องน่าเสียใจเกิดขึ้นเยอะเหลือเกินจนสมองเริ่มจะล้า เขาไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว

แต่พอได้สัมผัสกับน้ำ ให้ร่างกายได้ปล่อยตัวสบายอยู่ในมวลน้ำในอ่าง แค่นั้นก็รู้สึกเหมือนบางสิ่งบางอย่างที่ขุ่นมัวก็ถูกชะล้างออกไป ใจและกายที่เหนื่อยล้าค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นมา

พอรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว ความง่วงงุนก็เข้าจู่โจมในทันที

…ฝัน…?

เมื่อมองไปรอบๆ ฮารุกะพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องห้องหนึ่งที่คุ้นตา ห้องที่มีหน้าต่างและบานประตู

“…นี่คือ…ความฝัน…?”

“ที่จริงก็ไม่เชิงว่าเป็นความฝันหรอก แต่ถ้าจะให้ง่ายเรียกว่าฝันไปนั่นแหละ ฉันไม่ถือหรอก ฮ่าๆๆ”

เสียงของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อหันไปดูเขาก็พบชายวัยกลางคนกำลังเดินเข้ามาหา

“คุณพ่อ…”

“แหม วันนี้เหนื่อยหน่อยนะ ฮารุกะคุง ขอบใจมาก”

“ทำไมผมและคุณถึงมาเจอกันที่นี่ได้ล่ะครับ” ฮารุกะถามอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ดีนัก

“อืม ถ้าจะให้เล่าแล้วมันต้องเท้าความกันยาวน่ะ มันเริ่มจากว่าสมัยยังมีชีวิตอยู่ ฉันเกิดมาเป็นเด็กที่ชอบว่ายน้ำและยังว่ายเร็วซะด้วย ฉันเลยฝันอยากจะไปให้ถึงกีฬาห้าห่วง แต่ทีนี้การจะก้าวไปให้ถึงจุดนั้นมันยากใช่ม้า แถมไอ้ฉันก็ได้แต่งงานมีครอบครัว ความฝันที่ว่านั้นก็เลยเป็นแค่ความฝันต่อไป”

“เอ่อ…ขอแบบสั้นๆ สรุปๆ ได้มั้ยครับ” ฮารุกะที่ฟังอยู่เอ่ยขัดเมื่อเห็นท่าว่าจะได้ฟังอัตชีวประวัติตั้งแต่เกิดจนตายของพ่อริน

“อ้อ ได้ๆ คนหนุ่มคงไม่อยากฟังตาลุงอย่างฉันพร่ำเพ้อสินะ โอเค อา เมื่อกี้ฉันเล่าถึงไหนแล้วนะ”

“…ถึงตรงความฝันเป็นได้แค่ความฝันครับ”

“อ้อ ใช่ๆ ที่จริงตรงนั้นไม่ต้องเล่าก็ได้แหละ” เส้นประสาทตรงขมับของฮารุกะถึงกับกระตุก …ถ้าไม่ต้องเล่าแล้วจะเล่ามาทำไมครับคุณพ่อ…

“เธอถามว่าทำไมฉันและเธอถึงมาเจอกันได้สินะ? คนญี่ปุ่นอย่างเธอคงรู้ใช่มั้ยล่ะว่าโอบ้งเป็นช่วงที่วิญญาณของคนตายอย่างพวกฉันที่ข้ามแม่น้ำซันสึไปแล้วจะถูกปล่อยกลับมาหาคนเป็นได้ ทีนี้อีตอนขากลับมา คน เอ๊ย วิญญาณเข้าคิวกันเยอะมาก ในเรือก็เบียดกันสุดๆ เพราะงั้นฉันก็เลยกระโดดลงแม่น้ำแล้วว่ายกลับมาเองเลย เธอน่าจะได้เห็นหน้าของพวกยมทูตในตอนนั้นนะ พวกนั้นงี้ตกใจใหญ่”

เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ฮารุกะแอบต่อประโยคในใจเพราะขี้เกียจขัด …เขายังไม่อยากเห็นหน้าของยมทูตสักเท่าไหร่หรอกถ้ายังไม่ตาย…

แต่คนที่ยังพูดอยู่นั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิดและยังคงพล่ามต่อไป

“แต่ไหนแต่ไรพวกนั้นเอาแต่บอกว่าห้ามว่ายน้ำกลับมาเองเพราะจะไม่มีทางกลับมาที่โลกคนเป็นนี้ได้ แต่ไอ้ฉันเห็นว่าในเมื่อตายไปแล้วจะต้องตายอีกสักหนหรือวิญญาณสลายไปก็คงไม่เป็นไรก็เลยลองดูน่ะ และเห็นม้า ที่ฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ก็แปลว่าพวกยมทูตมันตอแหล คงจะอยากขูดรีดค่าพายเรือพาวิญญาณกลับมาล่ะสิถึงได้พยายามขู่กันนักว่าห้ามว่ายกลับมาเอง”

ฮารุกะพยักหน้าหงึกอย่างเนือยๆ พอให้เห็นว่าเป็นปฏิกิริยาตอบรับว่ายังฟังอยู่

“แล้วทีนี้พอฉันว่ายมาถึงฝั่งนี้ได้ ก็คิดถึงริน พอรู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ในงานเทศกาลแล้วเห็นรินกำลังประคองเธอที่หมดสติวิญญาณออกจากร่างอยู่พอดี ฉันก็เลยขอยืมใช้ร่างเธอแบบมัดมือชกกลายๆ ไปเที่ยวเล่นกับรินน่ะ แหะๆ”

“สรุปคือวิญญาณคุณกลับมาโลกมนุษย์ได้เพราะเป็นช่วงโอบ้งและคุณเลยตั้งใจกลับมาหาริน แต่เพราะเห็นผมหมดสติวิญญาณออกจากร่างพอดีก็เลยยืมร่าง แบบนี้สินะครับ”

“ใช่เลย แหม เธอนี่ทั้งน่ารักทั้งหัวดีจริงๆ “ไม่ว่าเปล่าคุณพ่อรินยังดึงตัวฮารุกะมาขยี้หัวอย่างมันมือ ส่วนคนที่ถูกขยี้หัวก็ชักทำใจกลายๆ แล้วเหมือนกันว่าพ่อรินนิสัยเป็นอย่างนี้เองเลยไม่ขัดขืนอะไร แม้จะรู้สึกทะแม่งๆ กับคำว่า ‘น่ารัก’ อยู่บ้างก็ตาม

“ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันจะเที่ยวสิงร่างคนหมดสติทุกคนได้ง่ายๆหรอกนะ” คุณพ่อพูดเสริมด้วยสีหน้าขึงขังขึ้นเล็กน้อย “แต่เพราะว่าเธอเหมือนกับฉันมากยังไงล่ะ”

“เหมือนคุณ งั้นเหรอครับ?” ฮารุกะไม่เข้าใจ พวกเขามีอะไรเหมือนกันด้วยหรือ ในเมื่อคุณพ่อทั้งร่าเริง ตรงไปตรงมา และซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง ส่วนตัวเขานั้นไม่มีอะไรใกล้เคียงเลยสักอย่าง

“ใช่ เหมือนมาก เหมือนตรงที่ให้ความสำคัญกับรินมากยังไงล่ะ” ว่าแล้วคุณพ่อก็หัวเราะหึๆในลำคออย่างมีเลศนัย

“ให้ความสำคัญ …กับริน” ฮารุกะทวนคำอีกฝ่ายพลางนึกทบทวนความรู้สึก …นั่นสินะ สำหรับเราแล้ว รินคือคนที่สำคัญที่สุดเสมอมา จากนี้ไปก็คงไม่แปรเปลี่ยนเช่นกัน

แต่ถึงกระนั้น ชายที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้คือคนที่รักรินมากที่สุด รักถึงขนาดยอมเสี่ยงตาย ไม่สิ เขาตายไปแล้ว แต่ก็ยังยอมลงทุนฝ่าฝืนกฎของยมทูตเพื่อกลับมาพบหน้าลูกชาย

ความรู้สึกที่เรามีให้รินมันยิ่งใหญ่เทียบเท่าความรักของเขาไม่ได้เลยสักนิด ดังนั้นมันคงไม่แปลกที่รินจะมีความสุขยามได้อยู่กับเขาคนนี้มากกว่ามีความสุขตอนที่อยู่กับเราสินะ…

ถ้าหากว่าชายคนนี้สิงร่างเราแล้วทำให้รินมีความสุขได้ล่ะก็…

“เอ่อ คุณพ่อครับ” ฮารุกะเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งไปพักใหญ่

“หืม?”

“คุณพ่ออยากเจอรินอีกมั้ยครับ”

“ฮ่าๆๆ ถามได้ ก็ต้องอยากเจออยู่แล้วสิ ลูกชายสุดที่รักทั้งคน”

“คุณพ่อจะยืมร่างผมอีกก็ได้นะครับ” ฮารุกะเสนออย่างหนักแน่น คุณพ่อชะงักนิดหนึ่งด้วยความไม่คาดคิด แต่แล้วก็ตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง

“พูดจริงรึเปล่า? ฮารุกะคุงเป็นเด็กดีจังนะ! พูดแบบนี้ทำเอาฉันชักไม่อยากกลับไปโลกโน้นซะแล้วสิ”

รอยยิ้มของคุณพ่อทำให้ฮารุกะอดยิ้มตามไม่ได้ แม้ว่าในใจจะรู้สึกปวดแปลบก็ตาม

…แบบนี้ดีแล้วล่ะ ถ้าทำให้รินมีความสุขได้ ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน ฉันก็จะทำ

“งั้นฉันคงต้องรบกวนเธออีกเร็วๆนี้ ฝากด้วยล่ะ!” สิ้นเสียงร่าเริงของคุณพ่อ ภาพตรงหน้าพลันสั่นสะเทือนราวกับโลกกำลังจะถล่มลงเดี๋ยวนั้น และในชั่วอึดใจต่อมา ฮารุกะก็พบว่าตนเองกลับมาอยู่ในอ่างอาบน้ำอีกครั้ง

…ถึงจะเหมือนกับฝันไป แต่นั่นคือพ่อรินจริงๆไม่ผิดแน่

ได้โปรดทำให้รินมีความสุขด้วยเถอะครับ คุณพ่อ

to be continued